เนื้อหาในหมวด สุขภาพ

ปวดไมเกรนไม่หาย ทำยังไงดี? ปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม

ปวดไมเกรนไม่หาย ทำยังไงดี? ปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม

ไมเกรนไม่ใช่แค่ปวดหัวธรรมดา แต่เป็นภาวะทางระบบประสาทที่สามารถกระทบคุณภาพชีวิตได้อย่างรุนแรง โดยเฉพาะเมื่ออาการไม่บรรเทาแม้ได้รับการรักษา บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกสาเหตุ วิธีดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง และการป้องกันไมเกรนอย่างมีประสิทธิภาพ

สาเหตุของไมเกรนเรื้อรังที่คุณอาจไม่รู้ความเครียด – ตัวกระตุ้นที่มักถูกมองข้าม

ความเครียดเรื้อรังส่งผลโดยตรงต่อระบบประสาทอัตโนมัติ และกระตุ้นให้หลอดเลือดหดเกร็งจนเกิดอาการไมเกรน การจัดการอารมณ์และการพักผ่อนอย่างเพียงพอคือกุญแจสำคัญในการป้องกันไมเกรนเรื้อรัง

ความดันโลหิต – ตัวแปรสำคัญที่ควรตรวจเสมอ

ไมเกรนและความดันโลหิตสูงมีความสัมพันธ์กันมากกว่าที่คิด ความดันสูงอาจทำให้หลอดเลือดในสมองตึงตัว ส่งผลให้อาการปวดหัวรุนแรงขึ้น หากคุณเป็นไมเกรนบ่อย ควรวัดความดันสม่ำเสมอ

ไขมันในเลือดและปัญหาหลอดเลือด

ไขมันอุดตันในหลอดเลือดส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไปยังสมองไม่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดไมเกรน การตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อตรวจระดับไขมันและหลอดเลือดสมองจึงเป็นสิ่งสำคัญ

วิธีรับมือไมเกรนเมื่อไม่หายขาด

อาการไมเกรนที่เกิดบ่อยและไม่หายขาดอาจต้องการการดูแลสุขภาพแบบเชิงลึกและต่อเนื่อง ลองพิจารณาแนวทางเหล่านี้ในการดูแลตัวเองอย่างจริงจัง

1. ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างเคร่งครัด

  • นอนหลับให้เป็นเวลา
    งานวิจัยพบว่าการนอนน้อยหรือเข้านอนไม่เป็นเวลาเพิ่มความเสี่ยงของไมเกรนอย่างมีนัยสำคัญ ควรนอนอย่างน้อย 6–8 ชั่วโมงต่อคืน และหลีกเลี่ยงการนอนดึกติดต่อกันหลายวัน


    Tip: ใช้เทคนิค “Sleep Hygiene” เช่น ปิดหน้าจอก่อนนอน 1 ชม. และปรับห้องให้มืดและเงียบ


  • หลีกเลี่ยงอาหารกระตุ้นไมเกรน
    อาหารที่มีสารกระตุ้นหลอดเลือด เช่น ช็อกโกแลต, เครื่องปรุงกลูตาเมต (MSG), เนื้อสัตว์แปรรูป, ไวน์แดง และชีสหมัก เป็นตัวกระตุ้นอาการไมเกรนในหลายคน


    Tip: จดบันทึก "ไดอารี่ไมเกรน" ว่าในวันที่ปวดหัวกินอะไร เพื่อหาตัวกระตุ้นเฉพาะบุคคล


  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
    การเคลื่อนไหวร่างกายช่วยกระตุ้นสารเอ็นโดรฟิน ลดความเครียด และปรับสมดุลของระบบไหลเวียนโลหิต การเดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือโยคะ 30 นาที/ครั้ง สัปดาห์ละ 3–5 ครั้งจะช่วยลดความถี่ของไมเกรนได้

2. จัดการความเครียดอย่างมีระบบ

  • ฝึกการหายใจและสมาธิ (Mindfulness & Breathing)
    เทคนิคการหายใจลึก (Deep Breathing) และการฝึกสมาธิ (เช่น MBSR – Mindfulness-Based Stress Reduction) ช่วยลดการทำงานของระบบประสาท Sympathetic ที่เกี่ยวข้องกับความเครียดและไมเกรน

  • กิจกรรมคลายเครียดเฉพาะตัว
    ลองหากิจกรรมที่คุณทำแล้วรู้สึกผ่อนคลาย เช่น ทำสวน อ่านหนังสือ หรือฟังเสียงธรรมชาติ งานวิจัยชี้ว่าแม้กิจกรรมง่ายๆ หากทำเป็นประจำก็ลดความถี่ของไมเกรนได้

  • พิจารณาปรึกษานักจิตวิทยา
    โดยเฉพาะผู้ที่มีความเครียดเรื้อรังหรือซึมเศร้าร่วมด้วย การบำบัดเชิงพฤติกรรม (CBT) ได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถลดความรุนแรงของไมเกรนในระยะยาวได้

3. ติดตามและตรวจเช็กสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

  • วัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ
    ความดันโลหิตสูงโดยไม่รู้ตัวอาจเป็นสาเหตุของไมเกรนเรื้อรัง ควรวัดความดันอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง หรือใช้เครื่องวัดความดันดิจิทัลที่บ้าน

  • ตรวจระดับไขมันในเลือดและหลอดเลือดสมอง
    การมีไขมันเลว (LDL) สูง หรือหลอดเลือดตีบแคบจะส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ทำให้มีโอกาสเกิดไมเกรนบ่อยขึ้น ควรตรวจเลือดปีละ 1 ครั้งโดยเฉพาะผู้มีอายุมากกว่า 35 ปี

  • ปรึกษาแพทย์เรื่องยา “ป้องกันไมเกรน”
    หากอาการไม่ดีขึ้นด้วยวิธีธรรมชาติ อาจพิจารณาใช้ยา เช่น

    • ยากลุ่ม Beta-blocker (ช่วยลดความดันและป้องกันการขยายหลอดเลือดสมอง)

    • ยากลุ่ม Antidepressant บางชนิด

    • ยาต้าน CGRP ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบของไมเกรน (ต้องอยู่ภายใต้การดูแลแพทย์)

การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมเพื่อจัดการไมเกรน

อาการไมเกรนไม่หายไม่ได้แปลว่าคุณต้องทนไปตลอดชีวิต หากคุณดูแลสุขภาพโดยการควบคุมความเครียด ตรวจเช็กความดันและไขมันในเลือดอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งปรับพฤติกรรมประจำวันให้สมดุล ก็สามารถลดความถี่และความรุนแรงของไมเกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทำไมเวลาปวดหัวไมเกรน ควรกินยาตั้งแต่เริ่มปวด

ทำไมเวลาปวดหัวไมเกรน ควรกินยาตั้งแต่เริ่มปวด

ปวดหัวไมเกรนไม่ควรรอให้ปวดหนัก กินยาตั้งแต่เริ่มปวดช่วยให้ยาออกฤทธิ์ได้เต็มที่ ลดอาการรุนแรง และควบคุมไมเกรนได้ดีกว่า

ยาต้านเศร้า คืออะไร ทำไมไปหาหมอรักษาไมเกรน แต่กลับได้ยาต้านเศร้ากลับมา

ยาต้านเศร้า คืออะไร ทำไมไปหาหมอรักษาไมเกรน แต่กลับได้ยาต้านเศร้ากลับมา

ยาต้านเศร้า คืออะไร การใช้ยาต้านเศร้าในการรักษาไมเกรน อาจฟังดูแปลก แต่เป็นวิธีที่แพทย์หลายคนใช้เพื่อควบคุมอาการปวดหัว มาดูกันดีกว่าทำไมเป็นอย่างนั้น