ปู่ไม่เชื่อ หลานสาวหัวกะทิ สอบได้ 47/750 คะแนน แต่เห็นสิ่งที่เขียนลงกระดาษ ร้องไห้โฮ
เบื้องหลังกลายเป็นเศร้า ปู่บุกสำนักงานการศึกษา หลานสาวหัวกะทิ สอบได้ 47/750 คะแนน แต่เห็นสิ่งที่เขียนลงกระดาษ รู้เลยเด็กวางแผนมาแล้ว...
สำนักข่าว SOHA รายงานถึงกรณีที่เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมิถุนายนปี 2018 ผู้เฒ่าคนหนึ่งได้เดินทางไปที่สำนักงานการศึกษาจังหวัดเสฉวน ประเทศจีน เนื่องจากปัญหาเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของหลานสาว ที่ได้คะแนนเพียง 47 คะแนน จากคะแนนเต็ม 750 คะแนน จึงได้เดินทางมาพร้อมกับผู้หญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นครูประจำชั้นของหลานสาว หวังว่าพนักงานจะช่วยตรวจสอบผลการสอบของหลานสาวของเขา
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้พนักงานจะตรวจสอบในระบบหลายครั้ง คะแนนรวมที่หลานสาวของเขาได้ก็ยังคงเป็น 47 คะแนน ถึงกระนั้นชายชราก็ยังไม่เชื่อ และแม้แต่ครูประจำชั้นก็ยังตกใจ เพราะตามปกติแล้วนักเรียนหญิงคนนี้มักจะอยู่ในกลุ่มที่มีผลการเรียนดีที่สุดในชั้นเรียน เมื่อเห็นว่าการอธิบายคงไม่เป็นผล พนักงานจึงติดต่อหัวหน้าของสำนักงานการศึกษาเพื่อให้มาช่วยแก้ไขสถานการณ์ ท้ายที่สุดถึงกับต้องเปิดข้อสอบเพื่อยืนยันต่อหน้าทั้งสองคน
แต่สิ่งที่ได้เห็นด้วยตาตัวเองกลับทำให้ชายชรายิ่งไม่เข้าใจ ทำไมหลานสาวที่มีผลการเรียนดีมาโดยตลอด ถึงได้คะแนนแค่ 47 คะแนน จนกระทั่งเมื่อความจริงในกระดาษข้อสอบถูกเปิดเผย ทุกคนก็เริ่มเข้าใจเบื้องหลังเรื่องราวนี้ ซึ่งซ่อนเร้นความจริงที่แสนเศร้า
การเติบโตท่ามกลางความยากลำบาก
เด็กหญิงที่เกิดปี 2001 เติบโตในครอบครัวเกษตรกรยากจนที่เสฉวน ประเทศจีน ด้วยสภาพครอบครัวที่ยากจน พ่อแม่ของเธอต้องออกไปทำงานนอกบ้านเพื่อหาเลี้ยงชีพ เธอจึงต้องอยู่ในความดูแลของคุณปู่ที่แก่ชรา และเริ่มช่วยทำงานบ้านตั้งแต่เธออายุ 5-6 ขวบ สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอมีบุคลิกที่แข็งแกร่งและเป็นคนที่มีความเป็นอิสระ
นอกจากนั้น เพราะไม่อยากให้พ่อแม่และคุณปู่กังวลกับตัวเองมากนัก ตั้งแต่ประถมเธอจึงตั้งใจเรียนและมีความมุ่งมั่นที่จะหางานที่มั่นคงในอนาคต ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนขณะที่เด็กคนอื่นๆ ในหมู่บ้านออกไปเล่น เธอกลับนั่งเรียนหนังสือคนเดียวบนเนินเขา เธอฝึกอ่านหนังสือจนถึงพระอาทิตย์ตกดินจึงกลับบ้าน ด้วยความพยายามและความมุ่งมั่นนี้ทำให้ผลการเรียนมักจะอยู่ในอันดับต้นๆ ครูประจำชั้นเคยบอกกับว่า หากยังคงรักษาระดับนี้ไว้ในอนาคตเธอจะมีอนาคตที่สดใสแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เมื่ออายุได้ 12 ปี เกิดเหตุการณ์ที่พลิกชีวิตของเธอ เมื่อกำลังปิดเทอมฤดูร้อนหลังจากจบชั้นประถม เธอยังคงมีนิสัยเรียนหนังสือบนเนินเขาอยู่เหมือนเดิม แต่วันหนึ่งคุณปู่ก็เดินมาหาเธอด้วยตาที่แดงก่ำ "หลานเอ๋ย พ่อแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้ว ต่อไปนี้จะมีแค่เราสองคนอยู่ด้วยกัน" คำพูดของนี้เหมือนฟ้าผ่าลงมา เธอยืนนิ่งไม่ขยับ จนน้ำตาไหลและวิ่งไปกอดคุณปู่แน่น เสียงสะอื้นของพวกเขาทำให้ใครก็ตามที่ได้ยินต้องรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย
ความบอบช้ำหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ
อาจจะเป็นเพราะต้องทนทุกข์จากการสูญเสียพ่อแม่ และการเรียนในระดับมัธยมมีความแตกต่างจากการเรียนในระดับประถม ผลการเรียนของเธอเริ่มตกลง เมื่อก่อนในชั้นประถมเธอเคยอยู่ในอันดับ 3 ของชั้น แต่พอขึ้นมัธยมต้นผลการเรียนอยู่ในอันดับที่ 20 เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้ คุณปู่จึงคอยพูดปลอบใจให้มีแรงฮึดขึ้นมาตั้งใจเรียนมากขึ้น กระทั่งผลการเรียนของเธอเริ่มดีขึ้น
เมื่ออายุ 15 ปี หลังจากจบการศึกษาชั้นมัธยมต้น เธอสามารถสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อเสียงในอำเภอได้สำเร็จ แม้จะมีความสุขที่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนที่ดี แต่ก็มีความกังวลมากมายเกี่ยวกับการที่ต้องย้ายไปเรียนในเมือง และความกังวลเรื่องค่าเล่าเรียน คุณปู่เห็นความกังวลของหลานสาว จึงปลอบใจว่า "ไม่ต้องห่วงอะไรนะ หลานเอ๋ย เรียนให้ดีก็พอ แค่เธอได้เรียนมหาวิทยาลัย ทุกความเหนื่อยยากของปู่ก็คุ้มค่าแล้ว"
การเรียนในเมืองไกลจากบ้าน ทำให้กลับบ้านได้แค่เดือนละ 1 ครั้ง ทุกครั้งที่กลับไปก็เห็นเส้นผมสีขาวเพิ่มขึ้นบนศีรษะของคุณปู่ ครั้งหนึ่งในช่วงปิดเทอม เธอรู้สึกเสียใจมากเมื่อพบว่าเพื่อเก็บเงินค่าเล่าเรียนให้หลาน คุณปู่ต้องทำทั้งงานเกษตร และไปช่วยงานก่อสร้างที่เมืองเพื่อหารายได้เสริม ในช่วงเวลานั้น ผลการเรียนของเธอก็ตกลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ถึงแม้จะพยายามมากแค่ไหนก็ไม่สามารถตามเพื่อนๆ ที่เรียนเก่งได้ทัน
ความมั่นใจในการเรียนกลายเป็นความรู้สึกด้อยค่า และผลการเรียนอยู่ที่ประมาณ 400-500 คะแนน ซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำให้เธอเข้ามหาวิทยาลัยที่หวังได้ เธอจึงตัดสินใจจะยุติการเรียนเพื่อช่วยครอบครัว แต่เมื่อคุณปู่ทราบก็ปฏิเสธทันที เขามุ่งมั่นจะส่งหลานเรียนจนจบให้ได้ โดยไม่สนใจว่าค่าเล่าเรียนจะสูงแค่ไหน เพราะไม่อยากให้หลานสาวต้องใช้ชีวิตแบบที่เขาเคยใช้
อย่างไรก็ดี ในสายตาของหลานสาว สิ่งนี้กลับกลายเป็นภาระและความรู้สึกผิด ทำให้เธอไม่สามารถตั้งใจเรียนได้ แม้ว่าเธอจะพยายามเต็มที่แล้ว แต่กระทั่งเรียนจนถึงชั้นปีสุดท้ายของมัธยม ผลการเรียนก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งวันหนึ่งเธอตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่คาดคิด
ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่น่าตกใจ
ในวันที่ 7 มิถุนายน 2018 เธอเข้าสอบเข้ามหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับนักเรียนคนอื่นๆ ทั่วประเทศ ก่อนสอบคุณปู่ได้เตือนเธอว่า "อย่ากังวลจนเกินไป ไม่สำคัญหรอกว่าจะได้ผลสอบเท่าไร ปู่จะสนับสนุนหลานเสมอ" เมื่อได้ยินคำพูดนี้เธอก็พยักหน้า และเดินเข้าไปในห้องสอบไป
เรื่องราวคงจะไม่โด่งดังหากไม่เกิดเหตุการณ์นี้ ในวันที่ประกาศผลคะแนน คุณปู่ตกใจมากเพราะคะแนนที่หลานสาวของเขาได้คือ 47 คะแนน จากคะแนนเต็ม 750 คะแนน ในตอนแรกเขาคิดว่าอาจจะตรวจสอบผิดเป็นเลขประจำตัวของนักเรียนคนอื่น จึงขอให้ครูตรวจสอบใหม่ แต่ผลก็ยังเหมือนเดิม ครูประจำชั้นเองก็รู้สึกตกใจ เพราะความสามารถของเธอไม่น่าจะได้คะแนนต่ำเช่นนี้ ส่วนเด็กหญิงเพียงบอกว่าเธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
"ต้องเป็นการผิดพลาดของสำนักงานการศึกษาแน่ๆ เราต้องไปถามพวกเขาให้แน่ใจ" คุณปู่พูด หลังจากนั้นเขาและครูประจำชั้นก็ไปที่สำนักงานการศึกษาเพื่อหาคำตอบ แต่เมื่อพนักงานนำข้อสอบของหลานสาวมาให้ดูก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อพบว่าเธอเขียนคำตอบลงไปแค่ไม่กี่ข้อเท่านั้น และปล่อยให้ข้ออื่นๆ ว่างเปล่า หรือกล่าวอีกอย่างคือเธอแทบจะ "ส่งกระดาษเปล่า"
คุณปู่ถามหลานสาวด้วยความตกใจ ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้? เขาเหนื่อยยากมาหลายปีเพื่อให้หลานได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? เหตุการณ์นี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาแสดงความโกรธต่อหลานสาว แต่คำตอบที่ตามมาก็ทำให้ชายชราแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่
แท้จริงแล้วหลานสาวเห็นคุณปู่ทำงานหนักจนผมขาว ก็รู้สึกเห็นใจและไม่อยากให้เขาทนทุกข์ไปมากกว่านี้ เธอรู้ว่าหากเธอเรียนต่อมหาวิทยาลัยจะสร้างภาระทางการเงินจำนวนมาก ทำให้ท่านอาจล้มลงและเธอจะสูญเสียครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวไป ดังนั้นจึงตัดสินใจไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัย เพื่อที่จะเป็นฝ่ายทำงานหาเงินเลี้ยงดูคุณปู่บ้าง
เมื่อคุณปู่ทราบเรื่องนี้ น้ำตาก็ไหลออกมา "หลานสาวโง่เอ๋ย ทำไมถึงโง่ขนาดนี้ แค่เธอเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้ ปู่ก็ทนทุกข์ทนลำบากได้ทั้งนั้น"
หลังจากนั้น ทางโรงเรียนและคนในหมู่บ้านก็ได้ทราบเรื่องนี้ ทุกคนต่างรู้สึกซาบซึ้งในเรื่องราวของปู่และหลานสาว ทั้งครูและคนในหมู่บ้านจึงช่วยกันเกลี้ยกล่อมให้เธอกลับมาเรียนใหม่ กระทั่งในวันที่ 7 มิถุนายน 2019 เถอะเหวินได้เข้าสอบอีกครั้ง ครั้งนี้เธอมีความมั่นใจและความตั้งใจเต็มเปี่ยม สุดท้ายเธอสอบเข้าได้ที่มหาวิทยาลัยครูเสฉวน หนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัด
ในระหว่างการเรียนมหาวิทยาลัยทั้ง 4 ปี เธอไม่เคยลืมความเหนื่อยยากของคุณปู่และความช่วยเหลือจากชาวบ้าน จึงตั้งใจเรียนอย่างขยันขันแข็ง จนสามารถขอทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัย เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าเล่าเรียนให้กับคุณปู่ ตอนนี้เธอจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแล้ว และตั้งใจจะกลับไปที่บ้านเพื่อสอนหนังสือในหมู่บ้านของตนเอง