อุทาหรณ์สายกินจุ สาวสูญเสีย "กระเพาะอาหาร" ตัดทิ้งรักษาชีวิต สะพรึงกับสิ่งที่อยู่ในท้อง

11/02/2025 (18:12 น.)

สาวสูญเสีย "กระเพาะอาหาร" ตัดทิ้งรักษาชีวิต ผ่าออกมาสะพรึงสิ่งที่ตกค้างอยู่ข้างใน 5 กก. อุทาหรณ์สายกินจุ 

หญิงชาวมณฑลเจียงซู ประเทศจีน ต้องเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉินเพื่อนำอาหารไม่ย่อยน้ำหนัก 5 กิโลกรัมออกจากกระเพาะ หลังจากการกินมากเกินไปส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่เป็นอันตรายถึงชีวิต

ตามรายงานของ Sing Tao Daily หญิงรายนี้ชื่อ นางจาง อายุ 41 ปี มีนิสัยกินอาหารมากเกินไปมาเป็นเวลานาน เธอเริ่มมีอาการแน่นท้องและไม่สบายตัวเมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อน แต่ไม่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของตนเอง

อาการทรุดหนักจนต้องเข้าห้องไอซียู

สองสัปดาห์ต่อมา อาการของเธอแย่ลง โดยมีอาการท้องอืดรุนแรงขึ้นและอาเจียน ไม่กี่วันก่อนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เธอได้กินเค้กลูกพลับทั้งก้อน ซึ่งทำให้อาการปวดท้องรุนแรงมากขึ้น

ตามรายงานของ Jimu News นางจางถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในพื้นที่ ซึ่งแพทย์สงสัยว่าเธออาจเป็นโรคตับอ่อนอักเสบขั้นรุนแรง และแนะนำให้ย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่กว่า

เมื่อเธอถูกส่งเข้าห้องไอซียูของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยหนานทง เธอได้หมดสติไปแล้ว

ต้องผ่าตัดฉุกเฉินทันที

แพทย์พบว่ากระเพาะของเธอขยายตัวอย่างมาก เนื่องจากมีสิ่งอุดตันที่ลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenal obstruction) ทำให้เกิดภาวะกระเพาะอาหารขยายตัวรุนแรง

ภาวะดังกล่าวส่งผลให้เกิดเนื้อตายและทะลุหลายจุดในผนังกระเพาะอาหาร จนทำให้อาหารรั่วไหลออกไปในช่องท้อง

ดร.กัว ฉิงซง รองหัวหน้าแพทย์ที่ทำการผ่าตัด กล่าวว่า “ผู้ป่วยอยู่ในภาวะช็อกจากการติดเชื้อ และเสี่ยงต่อภาวะไตวายเฉียบพลัน อวัยวะหลายส่วนอาจล้มเหลวได้ทุกเมื่อ”

เนื่องจากสัญญาณชีพของเธอไม่คงที่และไม่สามารถรักษาได้ด้วยยา การผ่าตัดจึงเป็นทางเลือกเดียว

ต้องตัดกระเพาะอาหารออกทั้งหมด

ระหว่างการผ่าตัด ทีมศัลยแพทย์ได้เอาอาหารที่ค้างอยู่ในกระเพาะของเธอออกมากกว่า 3 ลิตร รวมถึงผักดองและถั่วงอกจำนวนมาก

พวกเขายังพบก้อนนิ่วในกระเพาะ (gastric stones) หลายก้อน บางก้อนมีขนาดใหญ่ถึง 6 ซม.

เนื่องจากสภาพของเธอรุนแรงมาก แพทย์จึงต้อง ตัดกระเพาะอาหารออกทั้งหมด (Total Gastrectomy) และสร้างทางเดินอาหารขึ้นใหม่ โดยเชื่อมต่อหลอดอาหารเข้ากับลำไส้เล็กโดยตรง เพื่อให้เธอสามารถรับอาหารได้

หลังจากการผ่าตัดที่ใช้เวลานานถึง 6 ชั่วโมง นางจางถูกส่งกลับไปยังห้องไอซียูเพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิด และเข้ารับการรักษาต่อเนื่อง