
ทำไม "บิล เกตส์" ตั้งชื่อระบบว่า "Windows" คอมพิวเตอร์เกี่ยวอะไรกับ "หน้าต่าง"?
ทำไมคอมพิวเตอร์ PC ถึงใช้ระบบ “Windows” เกี่ยวอะไรกับ “หน้าต่าง”? คำตอบที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน!
ถ้าคุณเป็นคนใช้คอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการที่คุ้นเคยที่สุดคงหนีไม่พ้น Microsoft Windows หรือที่คนไทยเรียกติดปากว่า “วินโดวส์” แต่เคยสงสัยไหมว่า... ทำไมต้องชื่อว่า “Windows” (หน้าต่าง)? มันเกี่ยวอะไรกับหน้าต่างจริงๆ หรือเปล่า?
จุดเริ่มต้นของ “หน้าต่าง” บนหน้าจอ
เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปช่วงต้นทศวรรษ 1980s ซึ่งเป็นยุคที่คอมพิวเตอร์เริ่มเข้าสู่บ้านของผู้คนมากขึ้น แต่ในตอนนั้น ระบบปฏิบัติการส่วนใหญ่ยังเป็นแบบ Text-based หรือที่เรียกว่า Command Line Interface (CLI) ผู้ใช้ต้องพิมพ์คำสั่งเองทั้งหมด ไม่มีการ “คลิก” หรือ “ลากเมาส์” แบบที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน
แนวคิดใหม่ที่กำลังถูกพูดถึงในเวลานั้นคือ Graphical User Interface (GUI) หรือ "การแสดงผลแบบกราฟิก" ที่ผู้ใช้สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ บนหน้าจอเหมือนโลกจริงมากขึ้น และใช้งานผ่าน “หน้าต่าง” ที่แสดงข้อมูลหรือโปรแกรมแยกกันอย่างชัดเจน แนวคิดนี้เริ่มต้นจาก Xerox PARC ก่อนที่บริษัทอย่าง Apple และ Microsoft จะนำไปพัฒนาต่อ
บิล เกตส์ กับการตัดสินใจสำคัญ
ในปี 1983 บิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft ได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ที่ใช้แนวคิด GUI โดยใช้ชื่อแรกว่า “Interface Manager” (ตัวจัดการหน้าต่างการใช้งาน) ซึ่งเป็นชื่อที่ค่อนข้างตรงตัวและใช้กันภายในระหว่างการพัฒนา
แต่เมื่อถึงเวลาต้องเปิดตัวต่อสาธารณะ ทีมการตลาดของ Microsoft รวมถึงบิล เกตส์ มองว่าชื่อนี้ยัง ไม่ “ติดหู” และไม่ดึงดูดผู้ใช้ทั่วไปมากพอ
สุดท้ายพวกเขาตัดสินใจเปลี่ยนชื่อมาเป็น “Windows” ด้วยเหตุผลที่ว่า คำนี้สื่อถึง หน้าต่างหลายบาน ที่เปิดขึ้นบนหน้าจอ ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานหลายโปรแกรมพร้อมกันได้ ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญของระบบแบบ GUI ในยุคนั้น วิสัยทัศน์นี้สะท้อนถึงเป้าหมายของ Microsoft ที่ต้องการให้การใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน
ทำไม “Windows” ถึงกลายเป็นที่นิยม?
หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ การใช้งานที่ง่ายกว่าเดิม ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องพิมพ์คำสั่งเหมือนระบบ DOS แค่ใช้เมาส์คลิกไอคอน เปิดหน้าต่างขึ้นมาก็สามารถใช้งานโปรแกรมได้ทันที
ระบบ “Windows” เวอร์ชันแรกเปิดตัวในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1985 ในนาม Windows 1.0 แม้ในช่วงแรกจะยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก (เพราะยังต้องพึ่งพา MS-DOS) แต่ก็พัฒนาต่อมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเวอร์ชัน Windows 3.0 (1990) ที่เริ่มครองตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) ทั่วโลก จนถึงทุกวันนี้
ความสำเร็จนี้ยังมาจากกลยุทธ์ของ Microsoft ที่ทำให้ Windows เข้ากันได้กับเครื่อง PC หลากหลายยี่ห้อ ต่างจาก Apple ที่จำกัดเฉพาะฮาร์ดแวร์ของตัวเอง
สรุป
คำว่า “Windows” ไม่ได้เกี่ยวกับหน้าต่างบ้าน แต่เป็นคำเปรียบเปรยที่สื่อถึง “ช่องทางการใช้งานโปรแกรม” หลายบานบนหน้าจอ ซึ่งเป็นนวัตกรรมสำคัญในยุคที่ GUI ยังใหม่ และชื่ออันเรียบง่ายนี้เอง ที่ บิล เกตส์ และ Microsoft เลือกใช้ จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่แห่งคอมพิวเตอร์