
กลัวรบกวนลูก! แม่ติดนิสัย "ทำสิ่งนี้" ขณะเข้าครัว สุดท้ายพบเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย
แม่ติดนิสัย "ทำสิ่งนี้" ขณะเข้าครัว เพราะกลัวรบกวนลูก สุดท้ายพบว่าเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ร่ำไห้ในห้องตรวจ "แค่อยากเป็นแม่ที่ดี"
นายแพทย์เหลียว จี้ติ่ง จากแผนกโลหิตวิทยาและเนื้องอกวิทยา โรงพยาบาลหลินโข่วฉางเกิง ศูนย์รักษามะเร็งชั้นนำในไต้หวัน กล่าวในช่อง YouTube ของตนชื่อว่า “หมอเหลียวผู้เชี่ยวชาญ” ว่า ตามสถิติจากกระทรวงสาธารณสุขของไต้หวันพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งปอดกว่าครึ่งหนึ่งไม่เคยสูบบุหรี่เลย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง พบว่ามากถึง 90% เป็นผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
สาเหตุของมะเร็งปอดในกลุ่มนี้ มักมาจากปัจจัยเสี่ยงที่แอบแฝงอยู่ในชีวิตประจำวันโดยไม่รู้ตัว เช่น
- ควันจากการทำอาหารในครัว
- มลพิษทางอากาศ (โดยเฉพาะ PM2.5)
- การระบายอากาศที่ไม่เพียงพอ
- พันธุกรรมหรือประวัติคนในครอบครัวเคยป่วย
สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือน “แก๊สพิษเงียบ” ที่ค่อย ๆ บั่นทอนสุขภาพปอดอย่างต่อเนื่อง โดยที่เราไม่รู้ตัว
นายแพทย์เหลียว จี้ติ่ง เล่าถึงเคสที่น่าจดจำของผู้ป่วยรายหนึ่ง ซึ่งเป็นคุณแม่วัยรุ่น เธอเลือกไม่เปิดเครื่องดูดควันขณะทำอาหาร เพราะกลัวเสียงจะรบกวนลูกน้อย จึงผัดกับข้าวโดยไม่ใช้เครื่องดูดควันอยู่เป็นประจำ
แต่แล้วหลังจากมีอาการไอติดต่อกันนานถึงครึ่งปี เธอจึงตัดสินใจไปพบแพทย์ และพบข่าวร้ายว่าเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4
“เธอร้องไห้อย่างหนักในห้องตรวจ รู้สึกผิดและเสียใจ พร้อมพูดว่า ฉันแค่อยากเป็นแม่ที่ดี ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้" นายแพทย์เหลียว กล่าว
เขาย้ำว่า มะเร็งปอดไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับผู้ที่สูบบุหรี่เท่านั้น แต่ยังเป็นภัยเงียบที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน หากไม่ใส่ใจปัจจัยเสี่ยงรอบตัว
นายแพทย์เหลียว จี้ติ่ง เตือนว่า อาการของมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นมักไม่ชัดเจน ผู้ป่วยจำนวนมากกว่าจะรู้ตัวว่ามีปัญหาก็มักมีอาการชัดเจน เช่น ไอเรื้อรัง เจ็บแน่นหน้าอก หายใจติดขัด ซึ่งในหลายกรณีเป็นระยะลุกลามแล้ว ทำให้พลาดช่วงเวลาทองของการรักษา
เขาเน้นย้ำว่า ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น
- อายุเกิน 50 ปี
- มีประวัติมะเร็งปอดในครอบครัว
- อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีควันจากการทำอาหารหรือมลพิษทางอากาศ
- สูบบุหรี่ หรือได้รับควันบุหรี่มือสองบ่อยครั้ง
ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพราะหากกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ได้รับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ อัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปอดสามารถลดลงได้ถึง 20%