
ผลวิจัยอวย "น้ำผลไม้" ลดความดัน-ไขมันเลว ที่ไทยขายแค่หลักสิบ ใครๆ ก็ดื่มได้ทุกวัน!
วิจัยเผย “น้ำส้ม” ซึ่งหาซื้อได้ง่ายๆ ในราคาไม่แพง อาจมีประโยชน์อย่างมากในการลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิต ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยที่สุด
ระดับคอเลสเตอรอลสูง และความดันโลหิตสูง ทั้งสองภาวะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เพิ่มโอกาสการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง ขณะเดียวกันการปรับพฤติกรรมการบริโภค เช่น ลดไขมันอิ่มตัว และลดปริมาณโซเดียม เป็นวิธีพื้นฐานในการจัดการกับปัญหาเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยที่พบว่า "น้ำส้ม" โดยเฉพาะชนิดที่มีสารเฮสเพอริดินสูง (Hesperidin) อาจมีบทบาทช่วยลดความดันโลหิตได้
การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร European Journal of Nutrition ปี 2021 ระบุว่า การดื่มน้ำส้มต่อเนื่อง 12 สัปดาห์ ช่วยลดความดันซิสโตลิก (systolic blood pressure) และความดันพัลส์ (pulse pressure) ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ที่อยู่ในระยะเริ่มต้นของภาวะความดันโลหิตสูง
อีกการศึกษาหนึ่งจากวารสาร Arya Atherosclerosis ปี 2013 ก็ยืนยันผลลัพธ์ที่คล้ายกัน โดยพบว่า การดื่มน้ำส้มต่อเนื่องเป็นเวลา 2 เดือน ช่วยลดความดันโลหิตอย่างชัดเจน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากสารฟลาโวนอยด์ เพคติน และน้ำมันหอมระเหยที่พบในน้ำส้มเข้มข้น
ในด้านของคอเลสเตอรอล งานวิจัยจากวารสาร Lipids in Health and Disease ปี 2023 ศึกษาผู้เข้าร่วม 129 คน อายุระหว่าง 18–66 ปี โดย 41% ของผู้ร่วมการศึกษาดื่มน้ำส้มประมาณ 480 มิลลิลิตรต่อวัน (ซึ่งเทียบเท่ากับประมาณ 2 แก้วมาตรฐาน หรือ 2 แก้วน้ำส้มขนาด 240 มล. ต่อวัน) อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี ผลปรากฏว่า ผู้ที่ดื่มน้ำส้มเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลรวมลดลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่มเป็นประจำ
นอกจากนี้ ยังมีงานวิเคราะห์ข้อมูลจาก 9 งานวิจัย ที่ชี้ว่า น้ำส้มอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL (คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี) แม้ว่าจะยังไม่พบผลกระทบที่ชัดเจนต่อ HDL (คอเลสเตอรอลชนิดดี) และคอเลสเตอรอลรวมในบางกรณีก็ตาม
ทั้งนี้ ยังมีข้อควรระวังคือ แม้น้ำส้มจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็ควรบริโภคอย่างเหมาะสม เนื่องจากน้ำส้มหนึ่งแก้ว (100 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลถึง 24 กรัม ซึ่งหากบริโภคมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน และหากกังวลเกี่ยวกับระดับคอเลสเตอรอลหรือความดันโลหิตของตนเอง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอย่างจริงจัง