เนื้อหาในหมวด ข่าว

6 พฤติกรรมตอนเช้า ที่ทำร้าย \

6 พฤติกรรมตอนเช้า ที่ทำร้าย "ตับ" ไม่ต่างจากดื่มเหล้าเบียร์ หลายคนเผลอทำอยู่ทุกวัน

พฤติกรรมเหล่านี้หลายคนอาจมองว่าไม่อันตราย แต่จริง ๆ แล้วกำลังบั่นทอนสุขภาพตับอย่างเงียบ ๆ

เมื่อพูดถึงสิ่งที่ทำร้ายตับ คนส่วนใหญ่มักนึกถึงเหล้าเบียร์เป็นอันดับแรก แต่ในความเป็นจริง ยังมีพฤติกรรมในช่วงเช้าอีกหลายอย่างที่แอบทำลายตับโดยไม่รู้ตัว

สำนักข่าว Times of India ได้รวบรวม 6 พฤติกรรมตอนเช้าที่ทำร้ายตับ ซึ่งหลายคนยังทำอยู่ทุกวันโดยไม่ทันระวัง

1. งดมื้อเช้า

ในยุคชีวิตเร่งรีบ หลายคนมักละเลยการกินอาหารเช้า อาจเพราะต้องรีบไปทำงาน หรือบางคนตั้งใจทำ IF (Intermittent Fasting) เพื่อควบคุมน้ำหนัก

แต่จริง ๆ แล้ว ตับของเราต้องการพลังงานในการทำงานต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังอดอาหารมาตลอดคืน หากปล่อยให้ท้องว่างนานเกินไป ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียด คอร์ติซอล เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ตับทำงานหนักกว่าปกติ

นอกจากนี้ ตับยังทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่องดมื้อเช้า ตับจะต้องเร่งเปลี่ยนไกลโคเจนที่สะสมไว้มาผลิตพลังงาน เพื่อรักษาระดับน้ำตาลให้คงที่ หากทำบ่อย ๆ ตับจะต้องทำงานหนักเกินไปและเสี่ยงต่อการเสียสมดุลในระยะยาว

2. กินอาหารเช้าที่น้ำตาลสูงเกินไป

หากอาหารเช้าของคุณเต็มไปด้วยซีเรียลหวาน ขนมปังทาแยม หรือเค้กต่าง ๆ ที่มีน้ำตาลสูง ต้องระวังให้ดี เพราะพฤติกรรมนี้อาจกำลังทำร้ายตับโดยไม่รู้ตัว

การได้รับน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะฟรุกโตส จะถูกส่งไปที่ตับเพื่อเผาผลาญ หากร่างกายได้รับน้ำตาลส่วนเกินเป็นประจำ ตับจะสะสมไขมันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเสี่ยงเป็น โรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD) ในที่สุด

3. กินยา หรืออาหารเสริมตอนท้องว่าง

หลายคนมีพฤติกรรมกินวิตามินรวม ยาแก้ปวด ผงโปรตีน หรืออาหารเสริมต่าง ๆ ทันทีหลังตื่นนอน ขณะที่ท้องยังว่างอยู่ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อ การทำงานขับสารพิษของตับโดยไม่รู้ตัว

โดยเฉพาะการกินวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A, D, E, K หรือสมุนไพรดีท็อกซ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หากทานโดยไม่มีอาหารรองท้อง ตับจะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อจัดการกับสารเหล่านี้ และอาจเสี่ยงสะสมสารตกค้างได้ในระยะยาว

4. ไม่ขยับตัวหรือออกกำลังกายเลยตอนเช้า

การปล่อยตัวให้นอนนิ่ง ๆ ตอนเช้า เป็นพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อทั้งสุขภาพโดยรวม รวมถึงตับด้วย เพราะ การไม่ขยับร่างกายในตอนเช้า จะทำให้ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง ระบบย่อยอาหารแย่ลง ส่งผลให้ตับต้องทำงานหนักมากขึ้น

คุณไม่จำเป็นต้องตื่นเช้ามาวิ่งหรือเข้ายิมเสมอไป แค่ ยืดเส้นยืดสายเบา ๆ เดินเล่น หรือลองโยคะง่าย ๆ ก็เพียงพอที่จะกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และช่วยให้กระบวนการขจัดสารพิษของตับทำงานดีขึ้น แม้แค่เดินวนรอบบ้าน 10 นาที หรือขยับตัวเบา ๆ ระหว่างแต่งตัวออกจากบ้าน ก็ช่วยให้ตับแข็งแรงขึ้นได้แล้ว

5. ใช้เครื่องดื่มดีท็อกซ์มากเกินไป

การดื่มเครื่องดื่มดีท็อกซ์ในตอนเช้ามากเกินไป อาจกลายเป็นดาบสองคมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยเฉพาะตับ หลายคนเชื่อว่าการดื่มน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ล น้ำมะนาว ขมิ้น หรือกระเทียมเป็นประจำจะช่วยล้างสารพิษในร่างกายได้ดี

อย่างไรก็ตาม ควรใช้เครื่องดื่มเหล่านี้อย่างมีสติ และใส่ใจฟังสัญญาณตอบสนองจากร่างกาย เพราะการใช้เกินความจำเป็นอาจทำให้ตับทำงานหนักและเกิดผลเสียตามมาได้

ถ้าคุณมีนิสัยนอนดึกถึงตี 2-3 เพื่อทำงานหรือดูหนัง พร้อมกับกินของว่างไปด้วย ตับของคุณจะไม่ได้พักผ่อนและฟื้นฟูตัวเองเลย การนอนหลับไม่เพียงพอหรือไม่นอนให้เต็มอิ่มจะทำให้น้ำตาลในเลือดและฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น ส่งผลให้ตับต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น

ดังนั้นควรพยายามเข้านอนก่อน 4 ทุ่มถึง 5 ทุ่ม และหลีกเลี่ยงการกินของหนักหรือใช้โทรศัพท์มือถือก่อนนอน เพื่อให้ได้นอนหลับที่มีคุณภาพและช่วยรักษาสุขภาพตับให้แข็งแรง

3 พฤติกรรมตอนเช้า ที่ทำความดันโลหิตพุ่งสูง-อายุขัยสั้นลง หลายคนยังทำโดยไม่รู้ตัว

3 พฤติกรรมตอนเช้า ที่ทำความดันโลหิตพุ่งสูง-อายุขัยสั้นลง หลายคนยังทำโดยไม่รู้ตัว

หมอมาเตือนเอง 3 พฤติกรรมยามเช้า ที่อาจทำให้ความดันโลหิตพุ่งสูง และลดอายุขัย ที่หลายคนยังทำโดยไม่รู้ตัว