เรือลอบขนคนติดกลางทะเล 12 วัน 16 ชีวิตดื่มนมแม่วันละ 10 วินาที รอดปาฏิหาริย์!
นมแม่ช่วยชีวิต! เรือลอบขนคนลอยเคว้งกลางทะเล 12 วัน หญิงรายหนึ่งยอมป้อนนมวันละ 10 วินาที ช่วยชีวิตผู้คนได้ 16 คน
ที่สาธารณรัฐโดมินิกัน ในแถบทะเลแคริบเบียน เคยเกิดเหตุการณ์เอาชีวิตรอดกลางทะเลที่น่าตื่นตระหนก เมื่อเรือลอบขนผู้คนขนาดเล็ก บรรทุกผู้โดยสาร 16 คน ออกเดินทางจากชายหาดเมืองซาบานา เด ลา มาร์ (Sabana De La Mar) มุ่งหน้าข้ามช่องแคบโมนา ซึ่งเต็มไปด้วยฉลาม เพื่อไปยังเปอร์โตริโก หวังจะได้ชีวิตที่มั่นคงกว่า
ทว่าในระหว่างทาง เข็มทิศเกิดขัดข้อง ทำให้เรือลอยเคว้งกลางมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลแคริบเบียนนานถึง 12 วัน สุดท้ายผู้โดยสารทั้งลำรอดชีวิตได้อย่างปาฏิหาริย์ ด้วยน้ำนมแม่ที่หญิงผู้โดยสารคนหนึ่งยอมแบ่งปันให้ทุกคน
ตามรายงานจากสื่อต่างประเทศอย่าง Chicago Tribune เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 2001 ขณะนั้นมีผู้โดยสาร 16 คน แบ่งเป็นชาย 8 คน หญิง 8 คน ลงเรือจากชายหาดใกล้เมืองซาบานา เด ลา มาร์ ประเทศโดมินิกัน
โดยแต่ละคนจ่ายเงินค่าลอบขนระหว่าง 125-250 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4,500–9,000 บาท) เพื่อเดินทางข้ามช่องแคบโมนาไปยังเปอร์โตริโก ทว่าไม่นานหลังออกเดินทาง เข็มทิศบนเรือก็เกิดขัดข้อง อีกทั้งยังถูกกระแสน้ำพัดซัด ทำให้เรือหลงทิศและลอยเคว้งอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกกับทะเลแคริบเบียน
ยิ่งไปกว่านั้น ความลำบากทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเสบียงอาหาร น้ำดื่ม และเชื้อเพลิงหมดลงภายในเวลาเพียง 3 วัน ทำให้ผู้โดยสารทั้ง 16 คนร่างกายอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ หลายคนเริ่มมีอาการขาดน้ำและหมดสติ
กระทั่งวันที่ 5 ฟาสตินา เมร์เซเดส หญิงวัย 31 ปี เห็นเอลีนา น้องสาวของตนใกล้หมดแรง จึงตัดสินใจแบ่งน้ำนมที่เตรียมไว้ให้ลูกสาววัย 1 ขวบ ให้น้องดื่มอย่างสิ้นหวัง แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเอลีนาฟื้นแรงได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ฟาสตินาฉุกคิด และตัดสินใจแบ่งน้ำนมให้ผู้โดยสารทุกคนบนเรือ

จากนั้น ฟาสตินาได้วาง “กติกาการแบ่งปัน” ให้ผู้โดยสารอีก 15 คนผลัดกันดื่มน้ำนม วันละรอบ คนละราว 10 วินาที เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำและพลังงานเพียงพอต่อการประคองชีวิต เธอยังร่วมมือกับน้องสาวเพื่อเสริมโภชนาการให้ตนเองมีแรงผลิตน้ำนมต่อไป ท่ามกลางทรัพยากรที่จำกัดอย่างยิ่ง ฟาสตินาจึงกลายเป็นเสมือน “แหล่งชีวิต” ของทุกคนบนเรือลำนั้น
ตลอดช่วงเวลาที่เรือลอยกลางทะเล ผู้โดยสารต้องพึ่งผลไม้เน่าเสียที่ลอยมาตามคลื่นเพื่อประทังชีวิต พร้อมทั้งโบกมือเรียกขอความช่วยเหลือจากเรือที่แล่นผ่าน แต่ก็ไม่เคยได้รับการช่วยเหลือใด ๆ
จนกระทั่งเช้าวันที่ 12 ทุกคนมองเห็นแผ่นดินอยู่ลิบ ๆ จึงรีบรื้อไม้กระดานจากเรือมาทำพาย ช่วยกันออกแรงไปข้างหน้า และสุดท้ายอาศัยแรงกระแสน้ำพัดพาให้เข้าถึงฝั่งได้สำเร็จ สิ้นสุดการลอยเคว้งกลางทะเลเกือบ 2 สัปดาห์
หลังเหตุการณ์สิ้นสุดลง ฟาสตินาได้รับคำชื่นชมจากผู้คนมากมาย หลายคนยกย่องให้เธอเป็น “วีรสตรีกลางทะเล” ทว่าเธอกลับกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “นี่คือแรงบันดาลใจจากพระเจ้า ฉันเพียงทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้น”
รายงานยังระบุด้วยว่า การที่เรือลำเล็กที่ฟาสตินาโดยสารสามารถกลับถึงฝั่งได้อย่างปลอดภัยนั้นแทบจะไม่เคยเกิดขึ้น ขณะเดียวกันยังมีเรือลอบขนอีกลำซึ่งบรรทุกผู้โดยสาร 45 คน ประสบอุบัติเหตุในน่านน้ำใกล้เคียง และจนถึงทุกวันนี้ยังไร้ร่องรอย สร้างความสะเทือนใจแก่ผู้คนอย่างยิ่ง