"กระเทียม" เครื่องเทศนักสู้มะเร็ง ต้องกินให้ถูกวิธี ไม่งั้นสารสำคัญหายหมด
น่าเสียดาย "กระเทียม" เครื่องเทศต้านมะเร็ง สมุนไพรที่ถูกใช้เป็นยามานับพันปี แต่กินผิดวิธี "สารสำคัญ" หายไปหมด
กระเทียม เป็นเครื่องปรุงที่คุ้นเคยในครัวทุกบ้าน ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องเทศเท่านั้น แต่กระเทียมยังถูกใช้มานับพันปีในตำรับยาพื้นบ้านเพื่อบรรเทาอาการต่าง ๆ เช่น ไข้หวัด ไอ เจ็บคอ ปัญหาการย่อยอาหาร พยาธิ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และแม้กระทั่งการติดเชื้อที่ผิวหนัง งานวิจัยสมัยใหม่ยังชี้ว่ากระเทียมอาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโรคที่น่ากังวลที่สุดของมนุษย์
กระเทียมป้องกันมะเร็งได้อย่างไร?
ตามข้อมูลจาก สถาบันวิจัยมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (AICR) กระเทียมมีสารประกอบพืชหลายชนิด เช่น allicin, diallyl disulfide, diallyl sulfide, diallyl trisulfide, S-allyl mercapto cysteine และ S-allylcysteine สารเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งได้หลายทาง เช่น
-
ยับยั้งความเสียหายของเซลล์
-
หยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
-
กระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็ง
Allicin คืออะไร?
สารอัลลิซิน (allicin หรือ diallyl thiosulfinate) สารอัลลิซินที่เก็บสะสมในกระเทียมอยู่ในรูปของสารอัลลิอิน (alliin) ซึ่งสารอัลลิอินเป็นสารตั้งต้น แต่เมื่อกระเทียมถูกทำให้แตก อาจด้วยการทุบ บด หรือ หั่น จะมีปฏิกิริยาของเอนไซม์อัลลิเนส (alliinase) เกิดขึ้นโดยเอนไซม์อัลลิเนสมีกลไกในการเปลี่ยนสารอัลลิอิน ให้กลายเป็นสารอัลลิซิน ซึ่งอัลลิซินเป็นสารออกฤทธิ์ที่สำคัญของกระเทียมนั้นเอง
อัลลิซิน มีฤทธิ์ต้านจุลชีพ ต้านไวรัส ต้านเชื้อรา อนุมูลอิสระ และมีงานวิจัยบ่งชี้ว่าช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และมะเร็งบางชนิด
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Anticancer Agents in Medicinal Chemistry ปี 2019 อธิบายว่า กระเทียมสามารถ :
-
ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง
-
ลดการสร้างหลอดเลือดใหม่รอบ ๆ เซลล์มะเร็ง (ซึ่งจำเป็นต่อการลำเลียงสารอาหารให้มะเร็งเจริญเติบโต)
-
เร่งกระบวนการตายของเซลล์มะเร็ง ที่โดยปกติมักหลบเลี่ยงการตายตามธรรมชาติ
เมื่อทบทวนงานวิจัยหลายฉบับ AICR สรุปว่า การกินกระเทียมเป็นประจำอาจช่วยลดความเสี่ยงมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งระบบทางเดินอาหาร เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งตับ

วิธีการกินกระเทียมให้ได้ประโยชน์
ควรสับหรือหั่นกระเทียม แล้วทิ้งไว้ในอากาศประมาณ 10 นาที ก่อนปรุงหรือรับประทาน เพื่อให้เกิดสาร Allicin ในปริมาณมากขึ้น และหลีกเลี่ยงการปรุงสุกเกินไป เพราะความร้อนทำลายสารสำคัญนี้ได้ และหากปรุงอาหารโดยที่ไม่ทุบหรือสับกระเทียม แต่ปรุงไปทั้งกลีบ ก็จะทำให้ไม่ได้ประโยชน์จากสาร Allicin
การกิน กระเทียมสด จึงทำให้ได้คุณค่ามากที่สุด เพราะ Allicin สลายตัวง่ายมากเมื่อโดนความร้อน ทำให้การผัดหรือทอดกระเทียมสูญเสียสารสำคัญไปเกือบหมด
-
วิธีกินที่เหมาะสม : กินดิบ ๆ ในปริมาณพอเหมาะ (1–2 กลีบต่อวัน) เช่น บดใส่น้ำสลัด น้ำพริก หรือน้ำผึ้งผสมกระเทียม
-
ข้อควรระวัง : การกินกระเทียมสดมากเกินไปอาจทำให้ปากเหม็น ระคายเคืองกระเพาะอาหาร หรือทำให้เลือดออกง่ายในคนที่กินยาละลายลิ่มเลือด
ส่วน กระเทียมที่ถูกปรุงสุก แม้สารอัลลิซินจะถูกทำลายไป แต่สารต้านอนุมูลอิสระบางชนิดยังคงอยู่หลังโดนความร้อน มีประโยชน์ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย และกระตุ้นความอยากอาหาร
วิธีเลือกกระเทียมคุณภาพดี
ลักษณะของกระเทียมคุณภาพดี
-
หัวและกลีบ: หัวกระเทียมต้องแน่น กลีบเรียงตัวกันอย่างหนาแน่น ไม่หลวมหรือลีบ
-
เปลือก: เปลือกควรเรียบเนียน ไม่มีรอยช้ำ รอยขีดข่วน หรือรอยแตก
-
เนื้อ: เนื้อกระเทียมควรแน่น ไม่ฝ่อ และมีน้ำหนักดี
-
สี: เนื้อกระเทียมที่ดีมักมีสีขาวเหลืองอ่อน
-
ความสด: กระเทียมที่สดใหม่จะแข็งเมื่อสัมผัส และไม่มีกลิ่นเปรี้ยว
ลักษณะกระเทียมที่ควรหลีกเลี่ยง
-
มีเชื้อรา: สังเกตหากมีเชื้อรา หรือจุดสีดำบนเปลือก
-
นิ่มหรือเละ: หากกดแล้วรู้สึกนิ่ม เละ หรือเหนียว แสดงว่าอาจจะเสีย
-
เหี่ยวหรือแห้ง: กระเทียมที่แห้ง เหี่ยว หรือกลีบหลวม บ่งบอกว่าเก่าและไม่สด
-
งอกเป็นต้นอ่อน: กระเทียมที่งอกแล้วคุณภาพและกลิ่นหอมจะลดลง
-
มีเมือกหรือกลิ่นเปรี้ยว: เป็นสัญญาณชัดเจนว่ากระเทียมเสียแล้ว