
แม่ผัวอัมพาต สะใภ้ดูแลมา 7 ปี แต่ไม่มีชื่อในพินัยกรรม น้ำตาไหลเจอจม.บอกความในใจ
ลูกสะใภ้ลาออกจากงานมาดูแลแม่สามีที่เป็นอัมพาตนาน 7 ปี จนเสียชีวิต แต่ไม่มีชื่อในพินัยกรรม อ่านจม.ที่ทิ้งไว้ น้ำตาไหลไม่หยุด
หญิงสาวคนหนึ่งที่ได้โพสต์ข้อความที่กำลังได้รับความสนใจบนแพลตฟอร์ม Baidu ประเทศจีน โดยระบุว่า
"ฉันชื่อ จูอวี่เฉิง อายุ 35 ปี เคยทำงานเป็นพยาบาลในโรงพยาบาล ประมาณ 7 ปีก่อน แม่สามีฉันเกิดอัมพาตจากอาการสโตรก ต้องนอนติดเตียงตั้งแต่นั้นมา ฉันจึงเริ่มดูแลท่าน เมื่อประมาณเดือนก่อน แม่สามีได้จากไป และล่าสุด จดหมายที่ท่านทิ้งไว้ก่อนเสียชีวิตทำให้ฉันน้ำตาไหลไม่หยุด
ฉันยังจำเช้าวันหนึ่งในฤดูร้อนได้ดี แม่สามีกำลังรดน้ำดอกไม้ในสวน จู่ ๆ ท่านก็ล้มลงทันที แม้จะรีบนำส่งโรงพยาบาล แต่แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นเลือดออกในสมอง และเนื่องจากพลาดเวลาฉุกเฉิน ทำให้ท่านพิการตลอดชีวิต
เพราะเป็นพยาบาล ฉันจึงรับหน้าที่ดูแลแม่ตั้งแต่แรก สามีถามฉันว่า “เราจะส่งแม่ไปบ้านพักผู้สูงอายุไหม ทั้งคู่ต้องทำงานด้วย ดูแลไม่ไหวหรอก” ฉันมองแม่สามีนอนอยู่บนเตียงน้ำตาคลอและตอบว่า “ไม่ต้องหรอก ฉันจะดูแลแม่เอง” ตอนนั้นฉันยังไม่รู้เลยว่าการดูแลนี้จะยาวนานถึง 7 ปีเต็ม
ช่วงแรกฉันยังทำงานที่โรงพยาบาลอยู่ทุกวัน ตื่นตั้งแต่ตี 5 อาบน้ำให้แม่ เปลี่ยนผ้าอ้อม พลิกตัว ป้อนอาหารให้ท่าน พร้อมทั้งดูแลลูกสาวตัวน้อยไปโรงเรียนก่อนรีบไปทำงาน ตอนพักกลางวันก็รีบกลับมาดูแลแม่ พอเลิกงานก็กลับไปดูแลต่อไปเรื่อย ๆ สะโพกปวดบ่อย ตาบวม ลึกขึ้น และเพื่อนร่วมงานบอกว่าฉันซูบผอมลงมาก
“จูอวี่เฉิง แบบนี้เธอจะหมดแรงนะ” หัวหน้าพยาบาลเตือน “ทำไมไม่จ้างพยาบาลภายนอกล่ะ?” ปัญหาอยู่ที่การเงิน สามีฉันทำงานไกล กลับบ้านเดือนละครั้ง รายได้ของเราสองคนจำกัด ถึงขั้นต้องประหยัดเรื่องค่าเรียนลูกสาวให้พอเพียง
ช่วงที่ลำบากที่สุดคือกลางคืน แม่สามีมักมีอาการชักตอนดึก ฉันต้องเฝ้าดูอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ก้าวเข้าไปในห้อง ฉันจะกระซิบเบา ๆ ว่า “แม่คะ ลูกอยู่ตรงนี้แล้ว” แม่พูดไม่ได้ แต่กะพริบตาแรง ๆ เหมือนเป็นการตอบแทนความกตัญญู
พี่สาวสามีแต่งงานอยู่ไกลและมีร้านดอกไม้ จึงไม่สามารถดูแลใกล้ชิดได้บ่อยครั้ง หลายครั้งพี่สาวเสนอให้ส่งแม่ไปบ้านพักผู้สูงอายุ เพราะเห็นฉันเหน็ดเหนื่อย แต่ฉันปฏิเสธว่า “แม่ฉันเสียตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนี้เหลือแม่เพียงคนเดียว สิ่งที่แม่ต้องการที่สุดคือการดูแลจากครอบครัว พี่ไม่ต้องกังวลมากนักหรอก”
วันเวลาผ่านไป สุขภาพของแม่ยิ่งทรุด ฉันยิ่งเหน็ดเหนื่อย ในที่สุดจึงตัดสินใจลาออกจากงานพยาบาล เพราะไม่อาจรับภาระต่อไปได้ เมื่อสามีรู้ เขาไม่เห็นด้วยว่า “เธอคิดดีแล้วหรือ ยังรู้ใช่ไหมว่าทั้งคู่ต้องทำงานหนักแล้วยังต้องประหยัดอีก…”
ฉันตอบไปว่า “ฉันรู้ แต่ไม่อยากให้แม่ต้องลำบาก ฉันวางแผนแล้วว่าจะขายอาหารเล็ก ๆ ในหมู่บ้านเพื่อเพิ่มรายได้ เราจะสู้ไปด้วยกันนะ”
เขานิ่งเงียบไป ฉันเข้าใจถึงความเหน็ดเหนื่อยของสามีตลอดหลายปีที่ทำงานไกลบ้าน แต่ในใจฉันเชื่อว่าการดูแลแม่คือหน้าที่ของลูก จากนั้น ฉันจึงทั้งทำธุรกิจอาหารพร้อมทำนอกบ้าน และดูแลแม่สามีไปพร้อมกัน
เดือนที่แล้ว สุขภาพแม่ทรุดหนัก แพทย์บอกว่าอวัยวะหลายส่วนกำลังล้มเหลว และเหลือเวลาไม่มาก ฉันเฝ้าอยู่ข้างเตียงทั้งวันทั้งคืน แต่สุดท้าย แม่สามีก็จากเราไป
ก่อนจากไป แม่สามีได้ทิ้งพินัยกรรม แบ่งทรัพย์สินให้ลูกทั้งสอง บ้านหลังนี้ก็ยังคงอยู่ต่อโดยโอนชื่อให้สามี ส่วนพี่สามีได้รับเงินก้อนเล็ก ๆ แม่ไม่ได้กล่าวถึงฉันในพินัยกรรม ทำให้รู้สึกผิดหวังบ้าง แต่ฉันก็เคารพการตัดสินใจของแม่ เพราะสุดท้าย แม่ก็ยังคงเป็นแม่สามีของฉัน
แต่ไม่นานมานี้ ขณะที่ฉันกำลังเก็บของของแม่เป็นครั้งสุดท้าย พบจดหมายฉบับหนึ่งซ่อนอยู่ลึก ๆ ในลิ้นชักหัวเตียง แกะออกดูปรากฏว่าเขียนว่า “ถึงจูอวี่เฉิง” เปิดออกมาก็เจอกระดาษยับเยิน ลายมือเอียง ๆ บ่งบอกว่าผู้เขียนตั้งใจเขียนด้วยความพยายามอย่างมาก
“จูอวี่เฉิงที่รัก
เมื่อเธออ่านจดหมายฉบับนี้ แม่คงจากไปแล้ว แม้หลายปีที่ผ่านมาแม่ไม่เคยเอ่ยปากบอก แต่แม่เข้าใจหัวใจของเธอดี ก่อนจากไป แม่ขอทิ้งสมุดบัญชีออมทรัพย์จำนวน 1 ล้านหยวน (ประมาณ 4.4 ล้านบาท) ให้เธอ
นี่คือเงินออมตลอดชีวิตของแม่ เป็นเงินที่แม่ไม่เคยแตะต้องมาก่อน แม่ขอโทษที่ไม่ได้ให้ตั้งแต่แรก ตอนที่พวกเธอกำลังลำบากเรื่องเงิน เพราะแม่ไม่อยากให้ใครคิดว่าเธอมาดูแลแม่สามีเพราะหวังผลประโยชน์
แม่สามียังกล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา แม้จะต้องนอนติดเตียง แต่เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของแม่ แม่เคยคิดว่าเธอเป็นลูกสาวเมืองใหญ่ที่ไม่ชอบเหน็ดเหนื่อย แต่สุดท้ายเธอกลับทำให้แม่อึ้งด้วยความเสียสละเพื่อครอบครัว พร้อมที่จะลาออกจากงานเพื่อดูแลแม่สามี และนอนเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อคืนโดยไม่เคยบ่นสักครั้ง”
“เงินสำคัญก็จริง แต่ไม่เท่ากับหัวใจของเธอ ใน 7 ปีที่ผ่านมา เธอไม่ได้เป็นเพียงลูกสะใภ้ แต่เป็นดั่งลูกสาวของแม่ ดังนั้นอย่าคิดมากนะ ขอบใจลูกมาก” แม่สามีเขียนไว้ท้ายจดหมาย
อ่านไป น้ำตาก็ไหลไป จนในที่สุดฉันก็อดพูดไม่ได้ว่า “ทำไมแม่ไม่บอกฉันตั้งแต่แรก ทำไมถึงปล่อยให้ฉันเข้าใจผิดมาตลอด…”
หลังจากพูดคุยกับสามี ฉันตัดสินใจว่าจะไม่กลับไปทำงานเดิมอีก แต่จะใช้เงินที่แม่ให้เปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ข้างนอกหน้าร้าน ฉันจะติดป้ายแจกอาหารฟรีให้คนไร้บ้าน ผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียว ฉันเชื่อว่านี่คือวิธีที่มีความหมายในการใช้เงินที่แม่ให้ และมั่นใจว่าแม่บนสวรรค์จะคอยสนับสนุนฉันเต็มที่"