แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมะเร็งปอด ป่วยมะเร็งปอด วิจัยตัวเอง 3 ปี ได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมะเร็งปอด ป่วยมะเร็งปอดระยะที่ 4 วิจัยตัวเอง 3 ปี เผยเป็นเกียรติที่ได้สัมผัสประสบการณ์ตรง
นายแพทย์รอส คามิดจ์ (Ross Camidge) ผู้อำนวยการโครงการวิจัยมะเร็งปอดแห่งศูนย์มะเร็ง มหาวิทยาลัยรัฐโคโลราโด สหรัฐฯ และผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกวิทยาชื่อดังระดับนานาชาติ ผู้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับมะเร็งปอดมานานกว่า 20 ปี และช่วยเหลือผู้ป่วยนับไม่ถ้วนให้มีชีวิตยืนยาวขึ้น ได้ออกมาเปิดเผยว่าแท้จริงแล้วเขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น มะเร็งปอดระยะลุกลาม ตั้งแต่ 3 ปีก่อน แต่ที่ผ่านมาเลือกเก็บเป็นความลับ จนถึงตอนนี้เขาตัดสินใจบอกความจริง เพื่อหวังเปลี่ยนทัศนคติที่สังคมมีต่อโรคมะเร็ง
รายงานของ CBS News ระบุว่า คามิดจ์เริ่มมีอาการหายใจมีเสียงหวีดและเจ็บไหล่ เดิมคิดว่าเป็นเพียงโรคหอบหืดหรือกล้ามเนื้ออักเสบจากการออกกำลังกาย แต่หลังเข้ารับการเอกซเรย์ เขาได้รับแจ้งภายใน 4 วันว่าเป็น มะเร็งปอดระยะที่ 4 ที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เขากล่าวว่า
“ผมคิดว่าอาจเป็นแค่บาดเจ็บจากการออกกำลังกาย แต่ไม่กี่วันต่อมา กลับต้องเผชิญกับความจริงว่าผมเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย”
.jpg)
แม้จะป่วยด้วยโรคร้าย คามิดจ์ยังคงทำงานวิจัยและดูแลผู้ป่วยต่อไป จนเพิ่งตัดสินใจเปิดเผยเรื่องนี้ เขาอธิบายว่า ที่ผ่านมาเลือกเก็บเป็นความลับเพื่อปกป้องลูก ๆ และไม่อยากให้ผู้ป่วยได้รับผลกระทบจากความรู้สึก แต่ตอนนี้เขาไม่ได้เปิดเผยเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ ทว่าต้องการให้สังคมตระหนักว่า การถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ไม่ได้หมายถึงการหมดคุณค่าในชีวิต
คามิดจ์กล่าวว่า “ผมหวังว่าการเปิดเผยครั้งนี้จะสร้างความหมายเชิงบวก ให้ผู้คนตระหนักว่า แท้จริงแล้วคุณกำลังติดต่อกับผู้ป่วยมะเร็งคนหนึ่งมาตลอด”
เขาหวังเปลี่ยนมุมมองของสังคม ให้มองมะเร็งปอดเป็นโรคเรื้อรังที่สามารถควบคุมและอยู่ร่วมได้ในระยะยาว ไม่ใช่คำตัดสินประหาร เขายังเปรียบเทียบว่า “การรักษามะเร็งในปัจจุบันก็เหมือนการรักษาโรคเอดส์เมื่อ 20 ปีก่อน ที่เริ่มควบคุมได้และผู้ป่วยสามารถอยู่ร่วมกับโรคได้ยาวนาน”
เมื่อถูกถามว่า ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งปอดแต่กลับป่วยด้วยโรคเดียวกัน เขารู้สึกโกรธหรือไม่ คามิดจ์ตอบว่าไม่ ตรงกันข้าม เขามองว่าเป็นเกียรติ
“บางทีอาจฟังดูแปลก แต่ในไม่กี่วันหลังรู้ผล ผมก็บอกตัวเองว่านี่เป็นสิทธิพิเศษ เพราะผมได้สัมผัสประสบการณ์ตรงจากสิ่งที่คนไข้ของผมต้องเผชิญ”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คามิดจ์มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการรักษาแบบมุ่งเป้า (targeted therapy) และการติดตามอาการผู้ป่วย เขาเคยเห็นผู้ป่วยที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดตั้งแต่อายุเพียง 20 กว่า ๆ แต่ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่จนถึงวัย 50 กว่า ๆ แม้ตอนนี้เขาเองจะอยู่ในฐานะผู้ป่วย แต่ยังคงทำงานวิจัย คอยแนะนำแพทย์รุ่นใหม่ และใช้เรื่องราวของตนเป็นหลักฐานว่า แม้เผชิญกับโรคร้าย ชีวิตและภารกิจยังคงดำเนินต่อไปได้