คำเตือนสุดท้าย! 4 วิธีใช้ไมโครเวฟ ที่เหมือน "ปั๊มยาพิษ" ลงอาหาร ขี้เกียจแค่ไหนก็อย่าทำ
ระวัง! 4 วิธีใช้ไมโครเวฟผิดๆ ที่ทำลายคุณภาพอาหาร และส่งผลเสียต่อสุขภาพ อันตรายกว่าที่คิด
ตัวอาหารเองไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าปรุงด้วยไมโครเวฟตาม 4 วิธีต่อไปนี้ อาหารอาจกลายเป็น "สารพิษ" ได้ หลายครอบครัวทำสิ่งนี้ทุกวันโดยไม่รู้ตัว
ในหลายครอบครัวยุคใหม่ ไมโครเวฟกลายเป็น "มือขวา" เพราะช่วยอุ่น ละลายน้ำแข็ง และปรุงอาหารได้ภายในไม่กี่นาที ในตอนเช้าที่เร่งรีบ คุณสามารถอุ่นขนมปังได้อย่างรวดเร็ว ในตอนเย็นที่เหนื่อยล้า คุณใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็สามารถรับประทานซุปร้อนๆ ได้ ด้วยความสะดวกสบาย หลายคนจึงคิดว่าไมโครเวฟนั้น "ปลอดภัยอย่างแน่นอน" โดยไม่สนใจวิธีการใช้งานมากนัก
อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังความสะดวกและรวดเร็วนั้น มีพฤติกรรมอันตรายอย่างยิ่ง หากใช้อย่างไม่ถูกต้อง ไมโครเวฟก็เปรียบเสมือน "ปั๊มพิษ" ที่มองไม่เห็น ซึ่งทำลายคุณภาพของอาหารและแพร่เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ที่น่ากล่าวถึงคือพฤติกรรมเหล่านี้เป็นเรื่องปกติที่แทบทุกคนเคยประสบ
1. ใช้ภาชนะพลาสติกที่ไม่เหมาะสม
การใช้ภาชนะพลาสติกที่ไม่ระบุว่า "microwave safe" อาจทำให้สารเคมีในพลาสติกหลุดออกมาเมื่อโดนความร้อน เช่น BPA หรือ phthalates ซึ่งอาจมีผลต่อฮอร์โมนและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
2. เปิดประตูไมโครเวฟทันทีหลังจากหยุดทำงาน
การเปิดประตูทันทีหลังจากไมโครเวฟหยุดทำงาน อาจทำให้ความร้อนและความชื้นภายในยังคงอยู่ ทำให้เกิดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เช่น Salmonella หรือ E.coli ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียหรืออาหารเป็นพิษ
3. อุ่นอาหารบางประเภทที่ไม่ควรอุ่น
อาหารบางประเภท เช่น ไข่ทั้งฟอง หรือเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง เมื่ออุ่นในไมโครเวฟอาจเกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่เป็นอันตราย เช่น การเกิดสาร amin หรือ benzopyrene ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับมะเร็ง
4. ไม่ทำความสะอาดไมโครเวฟเป็นประจำ
การไม่ทำความสะอาดไมโครเวฟอาจทำให้เศษอาหารและคราบมันสะสม ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแบคทีเรียและเชื้อรา นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์และลดประสิทธิภาพของเครื่อง
- ต่างชาติเตือนกัน พลาสติก 4 ชนิดที่ควร "ทิ้งทันที" ก่อนมะเร็งมาเยือน คนไทยก็ใช้ทุกอย่าง!
- แพทย์ฮาร์วาร์ด เตือน 3 ของใช้ ที่อาจซ่อน “มะเร็ง” อยู่ทั้งในครัว-ห้องนอน เป็นพิษต่อสุขภาพ!
การใช้ไมโครเวฟอย่างถูกวิธีจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์จากความสะดวกสบาย โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อสุขภาพของตัวเอง
