เฮ้ย! งานวิจัยเผย อาบน้ำอาทิตย์ละ 2 ครั้งก็สะอาดพอ เพราะหัวใจสำคัญคือ "ที่นอน" ต่างหาก
อาบน้ำบ่อยแค่ไหนถึงสะอาดที่สุด? ผู้เชี่ยวชาญเผยจริง ๆ แล้ว “อาทิตย์ละ 2 ครั้ง” ก็เพียงพอ แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่การซักผ้าปูที่นอน
หลายคนอาจสงสัยว่า ควรอาบน้ำตอนไหนถึงจะสะอาดที่สุด บางคนชอบอาบทันทีที่กลับถึงบ้านหลังจากทำงานหรือเดินทางทั้งวัน เพราะคิดว่ามีเหงื่อและเชื้อโรคติดมา ขณะที่บางคนเลือกอาบก่อนนอน เพราะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและหลับสบายขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญกลับเตือนว่า ต่อให้คุณอาบน้ำก่อนนอน ก็ยังไม่เพียงพอ หากละเลยการดูแลความสะอาดของที่นอน
อาบก่อนนอนสะอาดจริงหรือ?
การอาบน้ำก่อนนอนช่วยชะล้างเหงื่อ ไขมัน และสิ่งสกปรกออกจากร่างกายก็จริง แต่ร่างกายมนุษย์ยังคง ขับเหงื่อและผลัดเซลล์ผิวขณะนอนหลับ โดยงานวิจัยพบว่า ใน 1 คืน ร่างกายอาจขับเหงื่อได้มากถึง 280 มิลลิลิตร และปลดปล่อยเซลล์ผิวกว่า 50,000 เซลล์ สิ่งเหล่านี้ตกค้างบนที่นอนและหมอน ทำให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ชั้นดีของไรฝุ่น เชื้อรา และแบคทีเรีย
ความจริงที่หลายคนมองข้าม
- แบคทีเรียสามารถอยู่บนผ้าปูที่นอน หมอน และผ้าห่มได้เป็นสัปดาห์
- ไรฝุ่นและเชื้อราจะสะสมเพิ่มขึ้นตามเวลา หากไม่ซักทำความสะอาด
- การนอนบนที่นอนที่สกปรกเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง
ควรอาบน้ำบ่อยแค่ไหน?
ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยฮัลล์ ประเทศอังกฤษ อธิบายว่า ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำทุกวัน สำหรับคนทั่วไป เพียงแค่รักษาความสะอาดของร่างกายบริเวณสำคัญ เช่น รักแร้ อวัยวะเพศ และเท้า ก็เพียงพอแล้ว ส่วนการอาบน้ำหรือแช่ตัวให้ทั่วทั้งร่างกาย อาทิตย์ละ 1–2 ครั้ง ก็สามารถช่วยคงสุขอนามัยได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้ชีวิตของแต่ละคน เช่น หากทำงานกลางแจ้ง เหงื่อออกมาก หรือสัมผัสมลพิษ ก็ควรอาบบ่อยขึ้น
เคล็ดลับอาบน้ำให้ได้ประโยชน์
สิ่งที่สำคัญกว่าการอาบน้ำ
แม้การอาบน้ำจะช่วยให้สะอาด แต่ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่า การซักผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนเป็นประจำมีความสำคัญกว่า เพราะที่นอนคือจุดที่เชื้อโรคสะสมได้ง่ายที่สุด หากดูแลเรื่องนี้อย่างสม่ำเสมอ สุขภาพก็จะดีขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องอาบน้ำบ่อยเกินไป
สรุป — การอาบน้ำอาทิตย์ละ 1–2 ครั้งสำหรับคนทั่วไปถือว่าเพียงพอ หากทำความสะอาดร่างกายเฉพาะจุดทุกวันและซักผ้าปูที่นอนเป็นประจำ แต่สำหรับคนที่เหงื่อออกง่ายหรือทำงานในสภาพแวดล้อมที่สกปรก ควรเพิ่มความถี่ตามความเหมาะสม