
4 เครื่องปรุง ที่ใช้บ่อยๆ "ทำร้ายตับ" เร็วยิ่งกว่าดื่มเหล้าเบียร์ พบได้ในทุกครัวไทย!
4 เครื่องปรุงที่ใช้บ่อย ๆ “ทำร้ายตับ” ยิ่งกว่าดื่มเหล้าเบียร์ พบได้ในทุกครัวของคนไทย
หลายคนรู้ดีว่าเหล้าและเบียร์คือศัตรูตัวร้ายของตับ แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ บางเครื่องปรุงในครัวที่เราใช้กันทุกวันก็อาจสร้างภาระให้ตับไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเมื่อใช้ในปริมาณมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้ตับต้องทำงานหนักจนเกิดการอักเสบและเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงในอนาคต
1. เกลือ
การกินเค็มไม่เพียงแต่ส่งผลเสียต่อหัวใจ แต่ยังทำให้ตับทำงานหนักขึ้นด้วย เมื่อร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป กระบวนการขับของเสียจะช้าลง ทำให้สารพิษสะสมในตับนานขึ้น นอกจากนี้ เกลือยังกระตุ้นให้เกิดความกระหายน้ำ ทำให้หลายคนดื่มน้ำหวานหรือเครื่องดื่มอัดลมมากขึ้น ซึ่งยิ่งเพิ่มภาระให้ตับ
องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่าผู้ใหญ่ควรบริโภคเกลือไม่เกิน 5 กรัมต่อวัน หรือเท่ากับโซเดียมประมาณ 2 กรัม หากเป็นผู้ที่มีโรคตับควรลดลงเหลือไม่เกิน 3 กรัม และผู้ที่มีภาวะบวมหรือความดันโลหิตสูงควรหลีกเลี่ยงอาหารเค็มโดยเด็ดขาด
2. น้ำตาล
แม้น้ำตาลจะช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหาร แต่การบริโภคมากเกินไปจะทำให้ตับทำงานหนัก เนื่องจากตับต้องเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินให้กลายเป็นไขมัน ซึ่งหากสะสมเป็นเวลานานจะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะไขมันพอกตับและตับอักเสบ
งานวิจัยของสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ พบว่า ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงมีโอกาสเกิดภาวะไขมันพอกตับที่ไม่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์สูงขึ้นถึง 30% ขณะที่ WHO แนะนำให้บริโภคน้ำตาลไม่เกิน 10% ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน หรือประมาณ 50 กรัมสำหรับผู้ใหญ่
3. ซอสถั่วเหลือง
ซอสถั่วเหลืองหรือซีอิ๊วถือเป็นเครื่องปรุงประจำครัวไทย แต่หากใช้มากเกินไปก็อาจทำร้ายตับได้เช่นกัน เพราะในกระบวนการหมักถั่วเหลืองอาจเกิดสารอะมิโนไนไตรต์ ซึ่งเป็นสารที่มีศักยภาพก่อมะเร็ง เมื่อตับต้องทำหน้าที่ขจัดสารนี้มากเกินไปจะเกิดการอักเสบและเซลล์ตับเสื่อมลง
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้บริโภคซอสถั่วเหลืองในปริมาณพอเหมาะ ประมาณ 10–15 มิลลิลิตรต่อวัน และควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “หมักธรรมชาติ” หลีกเลี่ยงชนิดที่มีสารกันเสียหรือสีสังเคราะห์
4. น้ำมันพืช
แม้น้ำมันพืชจะเป็นแหล่งไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่หากใช้มากเกินไปจะเพิ่มภาระให้ตับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะต้องเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมัน ส่งผลให้เกิดอนุมูลอิสระซึ่งทำลายเซลล์ตับโดยตรง โดยเฉพาะเมื่อนำ “น้ำมันเก่า” กลับมาใช้ซ้ำ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดสารพิษอะฟลาทอกซินที่เป็นต้นเหตุของมะเร็งตับ
ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการแนะนำให้ใช้น้ำมันพืชวันละไม่เกิน 25–30 กรัม และไม่ควรนำน้ำมันที่ผ่านการทอดแล้วมาใช้ซ้ำ ควรเก็บน้ำมันในที่แห้ง เย็น และห่างจากแสงแดด เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพของน้ำมัน
สรุป
แม้จะไม่ได้ดื่มเหล้าเบียร์ แต่หากใช้เครื่องปรุงอย่างเกลือ น้ำตาล ซอสถั่วเหลือง และน้ำมันพืชมากเกินไป ตับก็อาจได้รับความเสียหายไม่ต่างกัน การรู้จักจำกัดปริมาณและเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพคือวิธีง่ายๆ ที่ช่วยปกป้องสุขภาพของตับในระยะยาว