งูมีพิษ vs งูไม่มีพิษ แยกยังไงให้ปลอดภัย สังเกตง่ายกว่าที่คิด
งูมีพิษ vs งูไม่มีพิษ ดูต่างกันตรงไหน? แยกออกได้ในไม่กี่วินาที
หลายคนคงเคยตกใจเมื่อเห็นงูเลื้อยผ่านหน้า ไม่รู้ว่าควรหนีหรืออยู่เฉย ๆ เพราะแยกไม่ออกว่างูตัวนั้นมีพิษหรือไม่ การรู้ลักษณะเบื้องต้นของงูมีพิษและงูไม่มีพิษจึงสำคัญมาก เพื่อให้เรารับมือได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องฆ่าสัตว์โดยไม่จำเป็น
1. รูปร่างของศีรษะ
งูมีพิษมักมี หัวเป็นรูปสามเหลี่ยม หรือหัวบานออกจากลำตัวชัดเจน เพราะบริเวณหัวมีต่อมพิษ ส่วนงูไม่มีพิษมักมีหัวเรียวยาวต่อเนื่องกับลำตัว ไม่มีส่วนบานออกมากนัก
2. ดวงตาและรูม่านตา
งูมีพิษส่วนใหญ่มี รูม่านตาเป็นเส้นตั้ง คล้ายตาแมว เช่น งูเห่า งูแมวเซา แต่บางชนิดอย่างงูสามเหลี่ยมอาจมีตากลมเช่นกัน ส่วนงูไม่มีพิษมักมี รูม่านตากลม ขนาดเท่ากันตลอดเวลา
3. ฟันและเขี้ยว
งูมีพิษจะมี เขี้ยวคู่หน้า สำหรับฉีดพิษเข้าสู่เหยื่อ ส่วนงูไม่มีพิษไม่มีเขี้ยวแบบนี้ แต่จะมีเพียงฟันเล็ก ๆ ทั่วปากที่ไม่อันตรายต่อคน
4. พฤติกรรม
งูมีพิษมักมีพฤติกรรม ตั้งท่าป้องกันตัว เมื่อรู้สึกถูกคุกคาม เช่น แผ่แม่เบี้ย ฟ่อ หรือยกหัวสูง ในขณะที่งูไม่มีพิษมักจะ หนีเร็ว ไม่เข้าหาคน
5. สีสันและลวดลาย
บางชนิดของงูมีพิษมีสีสดหรือลายเด่น เช่น งูสามเหลี่ยม หรืองูปล้องทอง แต่ไม่เสมอไป เพราะงูไม่มีพิษบางชนิดก็มีลายเลียนแบบเพื่อป้องกันตัว ดังนั้นอย่าใช้สีเป็นเกณฑ์เดียวในการตัดสิน
6. เสียงและท่าทาง
งูเห่าเป็นตัวอย่างชัดเจนของงูมีพิษที่สามารถส่งเสียง “ฟ่อ” เพื่อเตือน ส่วนงูไม่มีพิษมักไม่มีเสียงลักษณะนี้ และไม่แผ่แม่เบี้ย
7. เมื่อเจองู ควรทำอย่างไร
- อย่าวิ่งเข้าไปใกล้ หรือพยายามจับเอง
- ถอยช้า ๆ และเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2-3 เมตร
- หากงูเข้าบ้าน ให้โทรแจ้งหน่วยกู้ภัย หรือทีมจับงูในพื้นที่
- หากถูกกัด อย่ากรีดแผลหรือดูดพิษออกเอง รีบไปโรงพยาบาลทันที
สรุป
การแยกงูมีพิษกับงูไม่มีพิษไม่ควรใช้เพียงเกณฑ์เดียว ต้องดูหลายปัจจัยประกอบกัน ที่สำคัญคือ “อย่าเข้าใกล้” หากไม่แน่ใจว่างูชนิดนั้นมีพิษหรือไม่ เพราะทางที่ปลอดภัยที่สุดคือการรักษาระยะห่าง และเรียกผู้เชี่ยวชาญมาช่วยจัดการ
รู้ทันงู ไม่ตื่นตระหนก และไม่ทำร้ายกันโดยไม่จำเป็น คือทางออกที่ปลอดภัยที่สุดทั้งต่อคนและสัตว์