7 สายงานจ่อ "ตกงานหมู่" ในปีหน้า! AI เล็งเสียบแทน เปิดคำทำนายนักลงทุนชื่อดัง
7 สายงานที่ AI เตรียมยึดครองในปีหน้า พร้อมคำทำนายจากนักลงทุนชื่อดัง
เมื่อพูดถึงการครองโลกของเครื่องจักร หลายคนอาจนึกถึงฉากในภาพยนตร์ Terminator ที่หุ่นยนต์ไร้ความปรานีเหยียบย่ำหัวกะโหลกมนุษย์ แต่ในความเป็นจริง การที่ AI (ปัญญาประดิษฐ์) จะเข้ามาแทนที่มนุษย์อาจเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ ด้วยการค่อยๆ ดึงงานของเราไปทีละตำแหน่ง จนทุกคนต้องตกงานในที่สุด
ปัจจุบัน สถานที่ทำงานจำนวนมากมอง AI เป็นของเล่นชิ้นใหม่ที่ถูกนำมาใช้เพื่อค้นหาวิธีที่จะให้คอมพิวเตอร์ทำงานแทนมนุษย์ เพื่อลดความจำเป็นในการจ้างพนักงาน แต่การกำจัดมนุษย์ก็มีปัญหาอยู่ AI ยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาอีกมาก และการรีบไล่คนออกโดยคาดหวังว่าเทคโนโลยีจะทำงานแทนได้ทั้งหมด ได้ทำให้บางองค์กรต้องอับอายมาแล้ว เมื่อตระหนักว่างานบางอย่างยังจำเป็นต้องใช้มนุษย์
1 ใน 6 บริษัทเตรียมใช้ AI ลดคนงาน
ผลการวิจัยล่าสุดจากสถาบัน Chartered Institute for Personnel and Development (CIPD) เผยตัวเลขที่น่าตกใจ โดยพบว่า นายจ้าง 1 ใน 6 ราย (17%) คาดว่าจะทำการลดจำนวนพนักงานและนำ AI เข้ามาแทนที่ภายในปีหน้า
7 กลุ่มอาชีพที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะถูก AI เข้ามาแทนที่
1. งานธุรการ (Admin)
เป็นกลุ่มงานที่มีความเสี่ยงสูงสุด โดย 62% ของนายจ้างคาดว่าจะลดขนาดทีมงานธุรการ ทีมเลขานุการ และทีมผู้บริหารระดับต้น เพื่อเปิดทางให้ AI เข้ามาจัดการงานเอกสารและงานธุรการทั้งหมด
2. ทีมผู้บริหารและฝ่ายขาย (Management & Sales)
- ผู้จัดการ: 28% ของบริษัทคาดว่าจะลดจำนวนพนักงานในระดับผู้บริหาร
- ทีมขายและบริการ: 27% คาดว่าจะลดจำนวนทีมขายและบริการ และให้ AI เข้ามาทำหน้าที่แทน
3. แรงงานไร้ทักษะ (Manual Labour)
เกือบหนึ่งในสี่ของสถานที่ทำงาน (23%) คาดว่าแรงงานกึ่งฝีมือหรือแรงงานที่ใช้แรงงานทั่วไปจะถูกลดจำนวนลงโดย AI
4. แรงงานฝีมือ (Skilled Manual Labour)
13% มองว่าจะลดจำนวนแรงงานฝีมือ แม้ว่า AI และหุ่นยนต์จะยังมีข้อจำกัดในการทำงานประเภทนี้
5. หัวหน้างานและผู้ควบคุม (Foremen & Supervisors)
หนึ่งในสิบของธุรกิจ (10%) กำลังพิจารณาที่จะแทนที่หัวหน้างานและผู้ควบคุมด้วยปัญญาประดิษฐ์
6. ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคและพนักงานวุฒิปริญญา (Degree-educated)
ประมาณหนึ่งในหก (17%) คาดว่าผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคและพนักงานที่มีวุฒิการศึกษาปริญญาจะถูกเลิกจ้างเช่นกัน

นักลงทุนระดับโลกเชื่อฟองสบู่ AI จ่อแตก!
ในทางกลับกัน การเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะ "ฟองสบู่" นักลงทุนรายใหญ่หลายคนแสดงความกังวลเกี่ยวกับการขาดผลตอบแทนที่แท้จริงจากเม็ดเงินที่ลงทุนไปใน AI และเกรงว่ามูลค่าบริษัทเทคโนโลยีจะสูงเกินจริงไปมาก
ไมเคิล เบอร์รี (Michael Burry) นักลงทุนชื่อดังจากภาพยนตร์ The Big Short ซึ่งเคยทำนายวิกฤตการณ์ทางการเงินโลกในปี 2008 ได้สำเร็จ ได้ทุ่มเงินกว่า 840 ล้านปอนด์ (ราว 3.8 หมื่นล้านบาท) เพื่อเดิมพันว่าฟองสบู่ AI จะแตก โดยเขาได้เดิมพันขายชอร์ต (Bet against) หุ้นของบริษัทซอฟต์แวร์ Palantir และบริษัทผู้ผลิตชิป Nvidia
ขณะเดียวกัน บิลล์ เกตส์ ผู้ก่อตั้ง Microsoft ก็เคยเตือนว่า เรากำลังอยู่ในฟองสบู่ AI ที่คล้ายกับฟองสบู่ดอทคอม (Dot-com bubble) ในช่วงปี 2000 ซึ่งฟองสบู่ดังกล่าวแตกสลายลงหลังจากที่ผู้คนเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับมูลค่าที่สูงเกินจริงของบริษัทอินเทอร์เน็ตที่ไม่สามารถสร้างรายได้ตามที่กล่าวอ้างได้
แม้ว่าฟองสบู่ดอทคอมจะแตก แต่ก็ไม่ได้หยุดยั้งการเติบโตของอินเทอร์เน็ตในท้ายที่สุด เพียงแต่ทำให้ตลาดกลับเข้าสู่ความเป็นจริงในระยะหนึ่งเท่านั้น