เนื้อหาในหมวด ข่าว

DPU “นิติศาสตร์ปรีดีฯ-รัฐประศาสนศาสตร์” มุ่งเน้นสร้าง “บัณฑิตที่เก่งและดี” ตอบโจทย์ผู้บริหารและสังคม

DPU “นิติศาสตร์ปรีดีฯ-รัฐประศาสนศาสตร์” มุ่งเน้นสร้าง “บัณฑิตที่เก่งและดี” ตอบโจทย์ผู้บริหารและสังคม

DPU ปลุกจิตสำนึกผู้นำและนักกฎหมายแห่งอนาคต “นิติศาสตร์ปรีดีฯ-รัฐประศาสนศาสตร์” มุ่งเน้นการสร้าง “บัณฑิตที่เก่งและดี” ตอบโจทย์ผู้บริหารและสังคม

มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดบ้านจัด “DPU OPEN HOUSE 2025: UNLOCK ตัวตน ค้นพบตัวจริง” ระหว่างวันที่ 13–15 พฤศจิกายน เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและอาชีวศึกษาได้มาสัมผัสบรรยากาศการเรียนรู้และทดลองค้นหาศักยภาพของตนเองผ่าน 5 กลุ่มอาชีพยุคใหม่ ซึ่งรวมถึงคลัสเตอร์ กลุ่ม Social+ ซึ่งประกอบด้วย คณะรัฐประศาสนศาสตร์และคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพมนุษย์เพื่อสร้างสรรค์สังคมอันดีงาม นอกจากนี้กิจกรรมยังช่วยให้นักเรียนเข้าใจทักษะจำเป็นสำหรับโลกการทำงานในอนาคต เช่น การคิดวิเคราะห์ การทำงานร่วมกัน และสร้างความพร้อมต่ออาชีพยุคใหม่

ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวถึงแนวทางสำคัญของการศึกษาในยุคปัจจุบัน โดยเน้นว่ามหาวิทยาลัยต้องการให้นักเรียนได้สัมผัสประสบการณ์จริงอย่างครบทุกมิติ เพื่อให้ค้นพบศักยภาพและเลือกเส้นทางการศึกษาที่สอดคล้องกับอนาคตที่ต้องการอย่างแท้จริง โดยเชื่อว่าการศึกษาไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงความรู้ในห้องเรียนเท่านั้น แต่คือการสร้างประสบการณ์และโอกาสที่ทำให้ผู้เรียนพร้อมสำหรับโลกแห่งการทำงานยุคใหม่

2

ปั้นนักกฎหมายยุคดิจิทัล ควบคู่คุณธรรม

คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะกิจกรรมศาลจำลอง "มรดกแห่งความลับ" ที่มีผู้เข้าร่วมเต็มทุกรอบ ซึ่ง ดร.อังค์วรา ไชยอนงค์ รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ เปิดเผยว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่แสดงให้นักเรียนเห็นว่าการเรียนนิติศาสตร์ไม่เครียดอย่างที่เคยเข้าใจ คดีที่นำมาใช้ส่วนมากเป็นคดีอาญาง่ายๆ ที่จับต้องได้ ทำให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่ายและรู้สึกว่าสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 

นอกจากกิจกรรมที่สนุกสนานและสามารถเข้าถึงได้ง่ายแล้ว คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ ยังให้ความสำคัญกับปรัชญาการเป็นนักกฎหมายที่ "เก่ง แล้วก็ ดี" พร้อมกับ "มีคุณธรรม" 

“เก่ง” – มีปัญญา พร้อมคิดวิเคราะห์อย่างรอบด้าน
นักกฎหมายต้องมีทักษะวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ เข้าใจทั้งตัวบทกฎหมายและบริบทของโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

“ดี” – มีหัวใจของความรับผิดชอบต่อสังคม
ความเก่งเพียงอย่างเดียวไม่อาจนำพาวิชาชีพกฎหมายไปสู่ความยั่งยืน นักกฎหมายต้องมุ่งสร้างประโยชน์ส่วนรวม เห็นคุณค่าของมนุษย์ และใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นธรรมของทุกคน

“มีคุณธรรม” – ซื่อสัตย์ สุจริต และยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง
คุณธรรมคือรากฐานที่ทำให้นักกฎหมายได้รับความเชื่อถือ ความโปร่งใส ความตรงไปตรงมา และความกล้าที่จะยืนอยู่ฝ่ายความถูกต้อง คือคุณสมบัติที่ทำให้สังคมไว้วางใจ

3

การปลูกฝังคุณลักษณะนี้ไม่ได้อยู่เพียงแค่ในตำรา แต่ผ่านการลงมือปฏิบัติจริงและการคืนประโยชน์สู่สังคม โดยรองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ ได้ยกตัวอย่างนักศึกษาที่เรียนได้เกียรตินิยม 1 แต่ยังคงเข้าร่วมกิจกรรมช่วยเหลือสังคม เช่น ค่ายอาสา และ นิติสัญจร 

การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องมีการลงพื้นที่และทำจริงนั้นยังช่วยให้นักศึกษาเกิดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และเป็นการฝึกฝนการใช้กฎหมายเพื่อช่วยเหลือคนอื่นไปพร้อมๆ กัน คณะฯ ยังมีศูนย์ให้คำปรึกษาทางกฎหมาย ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อให้คำปรึกษาฟรีแก่บุคคลภายนอก รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ กล่าวว่า “เราเชื่อว่าตรงนี้เป็นสิ่งที่คณะฯ ได้ตอบแทนประโยชน์คืนสู่สังคม และเป็นส่วนหนึ่งของการสอนนักศึกษาของเราให้ลงมือปฏิบัติจริงไปด้วย” การฝึกฝนนี้ทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้เคสจริง และได้ฝึกฝนการให้คำปรึกษาทางกฎหมายโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย 

เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนมีความรวดเร็วและเป็นประโยชน์สูงสุด คณะนิติศาสตร์ได้นำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน เพราะหลักการสำคัญของคณะคือต้องมีทั้งความยุติธรรมและความรวดเร็ว โดยมีแนวคิดที่ว่า "ถ้าความยุติธรรมล่าช้า คือความไม่ยุติธรรม" อาจารย์จึงได้นำโจทย์นี้มาสกัดเป็นแนวทางปฏิบัติ ทำให้มีการปรับปรุงหลักสูตรและวิชาต่างๆ ให้มีความทันสมัยมากขึ้น โดยเฉพาะการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้เป็นผู้ช่วยนักกฎหมาย 

ดร.อังค์วรา อธิบายด้วยว่า นักกฎหมายใช้ AI เป็นเครื่องมือหนึ่งในการที่จะช่วยเหลือประชาชน โดย AI จะช่วยในการสืบค้นมาตราหรือคดีต่างๆ เพื่อให้นักกฎหมายนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากกฎหมายมีจำนวนมากเป็นร้อยเป็นพันมาตราและเปลี่ยนแปลงตลอด การมี Barrister Intelligence Chatbot ให้คำปรึกษาทางกฎหมายตลอด 24 ชั่วโมง จึงเป็นส่วนสำคัญที่เข้ามาตอบโจทย์การให้คำปรึกษาทางกฎหมาย 

ความน่าเชื่อถือของคณะฯ ยังสร้างความมั่นใจให้กับผู้เรียนและผู้ปกครองอย่างลึกซึ้ง เนื่องจากคณะนิติศาสตร์ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งเดียวที่ใช้ชื่อต่อท้ายว่า “ปรีดี พนมยงค์” คณะฯปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หลักสูตรทุกหลักสูตรทันสมัยสอดคล้องกับความต้องการของสังคม และเพื่อสนองตอบต่อหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เพราะฉะนั้นคนที่จบจากคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ DPUไปจึงสามารถทำได้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อีกทั้งคณะฯ ยังดึงดูดผู้เรียนด้วยการจัดอาจารย์พิเศษซึ่งเป็นผู้พิพากษา อัยการ หรือนักกฎหมายทำงานอยู่ในสำนักงานกฎหมายเอกชน ทำให้ผู้เรียนได้เรียนกับผู้มีประสบการณ์จริง ซึ่งรวมถึงอาจารย์ประจำบางท่านที่เคยว่าความหรือมีสำนักกฎหมายส่วนตัวอยู่แล้ว ทำให้นักศึกษาได้สัมผัสเคสจริงได้ทุกระดับอย่างแน่นอน 

สำหรับเส้นทางอาชีพ คณะฯ มีงานทำเกือบจะ 100% โดยบัณฑิตสามารถไปประกอบอาชีพได้อย่างหลากหลายทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ สิ่งที่ช่วยผลักดันอย่างมากคือการมีเครือข่ายพันธมิตร (MOU) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีพาร์ตเนอร์ เช่น กรมทรัพย์สินทางปัญญา และสถาบันนิติวัชร์ มาร่วมจัดบูทในงาน เครือข่ายเหล่านี้ทำให้นักศึกษาสามารถไปฝึกงานและมีงานทำได้ต่อเนื่องไปเลย
4
สร้างผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง

ในส่วนของคณะรัฐประศาสนศาสตร์ รศ.ดร.วลัยพร รัตนเศรษฐ คณบดีคณะรัฐประศาสนศาสตร์ เปิดเผยว่ากิจกรรม Open House มีน้องๆ ที่เข้ามามีความหลากหลาย ทั้ง ม. 6 สายสามัญ วิทยาลัยสายอาชีพ ทั้งพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงพื้นที่ต่างจังหวัด

การจัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับการแนะแนวการศึกษาให้เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายของแต่ละคน “เรานำแนวคิดผู้นำและผู้บริหาร” มาออกแบบกิจกรรมให้น้องๆ ได้ร่วมกิจกรรม ฝึกทักษะผู้นำและการทำงานเป็นทีม โดยการสร้างหอคอยแก้ว (Leadership Challenge ) 

กิจกรรมที่ 2 นำแนวคิดอาชีพบัณฑิตทางรัฐประศาสนศาสตร์ โดยออกแบบให้จำลองสถานการณ์ และเลือกอาชีพข้าราชการที่เกี่ยวข้อง กิจกรรม PA Career  และเกมที่3 คือเกมผสมผสานเทคโนโลยี เกม Kahoot ตอบคำถามง่ายๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันกับศาสตร์การบริหารภาครัฐ 

“ทุกกิจกรรมจะทำให้น้องๆได้ฝึกทักษะ ความรู้ ทราบอาชีพที่เกี่ยวข้อง ตอบโจทย์ความต้องการ เป้าหมายในชีวิต ทราบศักยภาพของตน การแนะแนวการศึกษา นอกจากเน้นสาขาวิชาที่เรียนมา น้องๆ ยังมีความฝัน มีเงื่อนไขส่วนตัวที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย” รศ.ดร.วลัยพร ระบุ

คณบดีคณะรัฐประศาสนศาสตร์ กล่าวต่ออีกว่า การเรียนรู้ DPU เราเน้น การค้นพบศักยภาพของพวกเขา เราจะต่อเติมสร้างทางเดินให้พวกเขาค้นพบและสร้างความสำเร็จ บรรลุเป้าหมาย ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมทางการศึกษาทั้งเทคโนโลยี  AI  ที่ทันสมัย องค์ความรู้ การเรียนการสอน การฝึกปฏิบัติ เครื่องมือ อุปกรณ์ทันสมัยอย่างครบครันของมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังมีโค้ชที่สำคัญ เช่นคณาจารย์ ที่พร้อมสำหรับการสร้างความสำเร็จของน้องๆ
5
“คณะรปศ. DPU ของเรา เรียนที่นี่...ไม่เพียงค้นหาศักยภาพของตนเองได้เท่านั้น ยังรู้ถึงศักยภาพของผู้อื่นและออกแบบศักยภาพทำงานร่วมกันเป็นทีมงานและเครือข่ายได้อีกด้วย”

เช่นเดียวกับทางด้าน “น้องนาเดีย” หรือ “นางสาวอารดา ทิพย์เพ็ง” นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะรัฐประศาสนศาสตร์ ซึ่งได้รับทั้งทุนของมหาวิทยาลัยและมีบทบาทเป็นพิธีกรในงานนี้ ได้ถ่ายทอดมุมมองที่ยืนยันต่อการเรียนรู้ในสาขานี้อย่างน่าสนใจ โดยเน้นย้ำถึงสิ่งที่คณะฯ ให้ความสำคัญมาตลอดคือการทำงานเป็นทีม การเคารพบทบาทของผู้ร่วมสังคม และการรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของผู้ทำงานด้านรัฐประศาสนศาสตร์ในอนาคต

น้องนาเดีย ยังกล่าวถึงความมุ่งมั่นในการสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพว่า “อยากจะบอกว่าตอนนี้ถ้าเป็นคณะของหนูเลย หนูแนะนำให้น้องๆ ทุกคนมาเรียน เพราะว่ามันไม่ได้แค่ว่าเราเรียนจบไป เราสามารถเข้ารับข้าราชการหน่วยงานภาครัฐได้ และก็เป็นเอกชนได้เหมือนกัน” และยังให้ความเชื่อมั่นในบทบาทของคนรุ่นใหม่ว่า “อนาคตข้างหน้าเป็นของพวกเรา คือคนรุ่นอย่างน้องๆ นักเรียนที่มากันวันนี้ ถ้าหากเราต้องการสร้างสังคมที่ดีและพัฒนาควบคู่ไปด้วย คณะรปศ. DPU คือคำตอบ คือพื้นที่ที่สามารถพาไปถึงจุดนั้นได้”

แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นผ่านผลงานของน้องนาเดียเอง โดยปัจจุบันเธอเป็นหนึ่งในผู้ผ่านเข้ารอบ 15 คนสุดท้ายของโครงการยุวรัฐสภาในปี 2568 นี้ ซึ่งเป็นเวทีที่ต้องอาศัยทั้งความรู้ ความมั่นใจ และทักษะด้านการสื่อสารที่ประยุกต์ใช้ได้จริง เธอยังกล่าวถึงการเตรียมความพร้อมที่ได้รับจากคณะฯ ว่า “เนื้อหาความรู้ที่อาจารย์ฟูมฟักเรามา พร้อมทั้งการที่เราจะเป็นต้นกล้าในอนาคต เป็นรั้วของชาติ เป็นบุคลากรของประเทศ หรือเป็นแม่พิมพ์ของชาติ ได้ทั้งหมด”

นอกจากหลักสูตรที่ทันสมัยแล้ว คณะรัฐประศาสนศาสตร์ยังโดดเด่นในการดูแลและสนับสนุนนักศึกษาอย่างใกล้ชิด อาจารย์ให้คำปรึกษาและเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ทำตามความฝัน ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาหรือผู้ที่ทำงานไปพร้อมกับการเรียน นี่คือสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนทุกคนสามารถเติบโตและก้าวหน้าไปพร้อมกัน และการที่ DPU ให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ เช่น สภาพแวดล้อมสีเขียวและการเดินทางที่สะดวก เป็นปัจจัยเสริมที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความผ่อนคลายและมีสุขภาพจิตที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญนอกเหนือจากความรู้ทางวิชาการ โดยน้องนาเดียยังย้ำทิ้งท้ายด้วยว่า “ถ้าเราประสบความสำเร็จแต่สุขภาพไม่ดีก็ไม่ใช่ ดังนั้นจะดีกว่าไหม...หากเราตัดสินใจเลือกสิ่งที่ลงตัว”
6
เส้นทางแห่งการค้นพบ มุมมองจากผู้ที่มุ่งมั่นและผู้ที่เข้ามาสัมผัสโดยบังเอิญ

นอกเหนือจากความเชื่อมั่นที่คณาจารย์ได้ถ่ายทอดถึงปรัชญาการเป็นบัณฑิตที่เก่งและดี ประสบการณ์ที่นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงในงาน Open House เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับผู้เรียนในสายอาชีพกลุ่ม Social ได้อย่างชัดเจน

นายบุญญฤทธิ์ เอมเอี่ยม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนราชวินิตบางเขน เดินทางมาเข้าร่วมกิจกรรมของคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ ด้วยความตั้งใจตั้งแต่แรก เพราะมีความสนใจในศาสตร์นี้มาตั้งแต่มัธยมต้น จุดเริ่มต้นความสนใจมาจากการดูละครที่มีฉากข้อถกเถียง ทำให้เห็นเสน่ห์ของการใช้เหตุผลและการสื่อสารทางกฎหมาย จนกลายเป็นแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้เลือกเส้นทางนี้

เมื่อได้เข้าร่วมชมการแสดงศาลจำลอง “มรดกแห่งความลับ” การแสดงมีความเหมือนจริงและนักศึกษารับบทบาทได้อย่างน่าสนใจ แตกต่างจากภาพจำว่าบรรยากาศในศาลต้องเคร่งเครียด เพราะกิจกรรมนี้เต็มไปด้วยความสนุกและความมีส่วนร่วม อีกทั้งยังช่วยสร้างความมั่นใจมากขึ้นในทิศทางที่เลือก และมอบประสบการณ์ด้านการจัดลำดับความคิดและการสื่อสารที่สามารถนำไปใช้ได้จริง

“โดยรวมดีเลยครับ เหมือนแบบที่ผมดูและตั้งเป้าไว้จริงๆ” นายบุญญฤทธิ์ อธิบายความรู้สึกการได้มาทดลองเห็นการปฏิบัติงานจริงทำให้รู้สึกว่า ทิศทางของการเป็นนักกฎหมายมีความชัดเจนมากขึ้นมาในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกคณะนี้ทันที “ขอสำรวจอีกนิด แต่ถ้าผมรู้ชัดแล้วว่าถ้าเป็นด้านกฎหมาย บอกได้เลยว่าต้องที่นี่ครับ”

บรรยากาศที่ดึงดูดใจและกิจกรรมที่น่าสนใจคลัสเตอร์กลุ่ม Social ยังสามารถเปลี่ยนความสนใจของนักเรียนที่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายในกลุ่มนี้ได้เช่นกัน นายณัฐวุฒิ รัฐกิจวิจารณ์ พร้อมด้วย นายจีรศักดิ์ ผ่องใส และนางสาวอธิชนัน วรสุข นักเรียนโรงเรียนเบญจมานุสรณ์ ที่เดินทางมางาน Open House โดยตั้งใจไปที่คณะนิเทศศาสตร์และคณะศิลปศาสตร์ แต่ตัดสินใจแวะชมบูทคณะนิติศาสตร์เพราะได้รับคำบอกเล่าจากเพื่อนว่ากิจกรรมมีความสนุกสนานจริง

หลังจากเข้าร่วมกิจกรรมโดยไม่คาดหวัง ทั้งสามคนยอมรับว่า การนำเสนอทำให้สนุกและเปิดโลกทัศน์เกี่ยวกับกฎหมาย โดยเฉพาะนายณัฐวุฒิที่บอกว่าตน “รู้สึกถึงแรงส่ง ให้เราไหลและคล้อยตามไปกับเนื้อหา” นอกจากนี้การนำเสนอคดีด้วยภาษาง่ายๆ เน้นความชัดเจนทำให้ได้รับความรู้ด้านกฎหมายกลับบ้านอีกด้วย 

“อีกอย่างที่ประทับใจคือ บรรยากาศและสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัย อาจารย์กับรุ่นพี่ใจดีเป็นกันเอง น่ารักดูแลนักเรียนดีมาก ถ้ามาเรียนก็มั่นใจว่าการเรียนที่นี่จะได้รับทั้งความรู้และประสบการณ์ที่ดี” ทั้งสามคนกล่าวทิ้งท้าย

เปิดชื่อตระกูลมหาเศรษฐีไทย เจ้าของตึกสูงสุด 5 อันดับในกรุงเทพมหานคร

เปิดชื่อตระกูลมหาเศรษฐีไทย เจ้าของตึกสูงสุด 5 อันดับในกรุงเทพมหานคร

เปิดรายชื่อ 5 อันดับตึกสูงที่สุดในไทย ใครคือเจ้าของ และตระกูลใดเป็นผู้พัฒนาโครงการขนาดหมื่นล้าน-แสนล้านเหล่านี้