ถั่ว 2 ชนิด คนไทยชอบกินมาก! กินบ่อย "ทำร้ายตับ" แม้มีประโยชน์ก็ไม่ควรกินเกิน
เผย 2 ชนิด "ถั่ว" กินมากไปอาจ "ทำลายตับ" แม้จะมีประโยชน์และอร่อยแค่ไหน ก็ไม่ควรกินเกิน
หลายคนเชื่อว่าถั่วเป็นอาหารสุขภาพ เพราะอุดมด้วยโปรตีนและแร่ธาตุจากพืช แต่ผลวิจัยใหม่ชี้ว่า ถั่วบางชนิดอาจกลายเป็นภาระต่อ “ตับ” ได้ หากรับประทานบ่อยเกินไป โดยเฉพาะ ถั่วปากอ้า และ ถั่วฝักยาว ที่ถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะเอนไซม์ตับผิดปกติในผู้สูงอายุและวัยกลางคน
ถั่วปากอ้า: เสี่ยงต่อการแตกของเม็ดเลือดแดง
ถั่วปากอ้ามีสาร vicine และ convicine ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกในผู้ที่ขาดเอนไซม์ G6PD ส่งผลให้ตับต้องทำงานหนักขึ้นในการจัดการกับเฮโมโกลบินจากเลือดที่ถูกทำลาย หากเกิดขึ้นรุนแรงอาจก่อให้เกิดโรคที่เรียกว่า “favism” ซึ่งเป็นภาวะอันตรายที่ต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์
ผู้ที่ไวต่อสารเหล่านี้อาจมีอาการคลื่นไส้ อ่อนแรง เวียนศีรษะ และปัสสาวะสีเข้มหลังรับประทาน ควรหยุดกินทันทีและไปพบแพทย์หากมีอาการผิดปกติ
วิธีกินถั่วปากอ้าอย่างปลอดภัย
- ไม่ควรกินเกินสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 100 กรัม
- แช่น้ำอย่างน้อย 6–8 ชั่วโมงก่อนปรุง
- ต้มหรือปรุงให้สุกทั่ว แล้วทิ้งน้ำต้ม
ถั่วฝักยาว: มีสารพิษพืชที่กระทบการทำงานของตับ
ในถั่วฝักยาวมีสาร lectin ซึ่งเป็นพิษธรรมชาติของพืช (phytotoxin) ที่อาจรบกวนการดูดซึมสารอาหารและกระบวนการเผาผลาญในตับ เมื่อรับประทานในปริมาณมากหรือเป็นเวลานาน ตับจะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อกรองสารพิษและจัดการของเสียจากการย่อยอาหาร
คำแนะนำในการกินถั่วฝักยาว
- ไม่ควรกินเกินสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 150 กรัม
- ควรลวกหรือผัดให้สุกก่อนรับประทาน เพื่อช่วยลดสาร lectin
- หลีกเลี่ยงการกินคู่กับอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น เครื่องในหรือเนื้อแดง เพราะอาจยับยั้งการดูดซึม
เคล็ดลับดูแลตับให้แข็งแรง
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า การป้องกันปัญหาตับทำได้ง่าย ๆ เพียงใส่ใจพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตประจำวัน ได้แก่
- รับประทานอาหารหลากหลาย เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด และโปรตีนคุณภาพดี
- ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดไปยังตับ
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
- ตรวจวัดระดับเอนไซม์ตับทุก 6–12 เดือน
- ระวังอาหารที่อาจปนเปื้อนสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง และดื่มน้ำสะอาดเสมอ
