เตือนภัย! 3 ผักสด "ทำลายตับ" เสี่ยงแฝงปรสิต-สารพิษ อันตรายต่อไทรอยด์และตับ
อันตรายที่ตับไม่ปลื้ม! 3 กลุ่มผักที่คุณควรงด "กินดิบ" แม้จะอร่อยและมีประโยชน์
ลองนึกภาพ คุณกำลังคีบผักสลัดเขียวสด จิ้มซอสอย่างน่าอร่อย ทันใดนั้นมีคนตะโกนว่า "หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ผักนี้มีพิษ!" อย่าเพิ่งตกใจเกินไป ไม่ใช่ว่าผักมีพิษร้ายแรงทันที แต่ผักบางชนิดเมื่อกินดิบ อาจแฝงอันตรายต่อสุขภาพที่คุณคาดไม่ถึง
กลุ่มผักที่มีกลไก "ป้องกันตัวเอง" (Self-Protection)
เป็นผักที่มีสารตามธรรมชาติเพื่อป้องกันแมลงและศัตรูพืช ซึ่งสารเหล่านี้จะถูกทำลายเมื่อผ่านความร้อนเท่านั้น การกินดิบอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือต้องเข้าโรงพยาบาล
ถั่วฝักยาวและถั่วชนิดอื่น ๆ (ถั่วแขก, ถั่วพู, ฯลฯ): มีสาร Saponin และ Lectin ซึ่งจะถูกย่อยสลายเมื่อ ปรุงสุกอย่างสมบูรณ์
ดอกลิลลี่สีเหลืองสด: มีสาร Colchicine ซึ่งเป็นอันตราย การต้มที่อุณหภูมิสูงนาน 15 นาทีจึงจะปลอดภัยขึ้น การใช้ดอกลิลลี่แบบแห้งจะปลอดภัยกว่า
มันสำปะหลังสด: มีสาร Cyanogenic Glycoside ที่เปลี่ยนเป็นกรดไฮโดรไซยานิก (HCN) ได้ อันตรายอย่างยิ่ง ควรนำไปแช่น้ำและปรุงให้สุกอย่างทั่วถึงก่อนกิน
กลุ่มผักที่ง่ายต่อการ "สะสมเชื้อโรคและสารเคมี"
ผักกลุ่มนี้มีโครงสร้างหรือแหล่งกำเนิดที่เอื้อต่อการซ่อนตัวของเชื้อโรคและสารปนเปื้อน
รากบัวและสมหวัง (แห้ว): เป็นพืชน้ำที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่อาจมี ปรสิต งานวิจัยบางชิ้นเคยพบไข่ปรสิตจำนวนมากบนเปลือกแห้วดิบ และการแช่น้ำเกลือก็ไม่สามารถกำจัดได้หมด
ผักที่มีลำต้นกลวง (ผักบุ้ง, ผักกาด): โครงสร้างคล้ายท่อดูดตามธรรมชาติ ทำให้ง่ายต่อการกักเก็บ ยาฆ่าแมลง และจุลินทรีย์ ในญี่ปุ่น เชฟมืออาชีพมักต้องล้างผักเหล่านี้ภายใต้น้ำไหลนานกว่า 15 นาที
ถั่วงอกดิบ: เจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมที่อุ่นและชื้น ซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะสำหรับแบคทีเรีย Salmonella การระบาดของเชื้อ Salmonella จากถั่วงอกดิบในเยอรมนีเมื่อปี 2554 เคยทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 53 ราย จึงมีความเสี่ยงสูงมากหากกินดิบ
กลุ่มผักที่ "ขัดขวางการดูดซึมสารอาหาร"
ผักเหล่านี้มีสารที่อาจไปจับกับแร่ธาตุ ทำให้ร่างกายดูดซึมได้ยากขึ้น
ผักโขมและผักโขมจีน (ผักปวยเล้ง): มีสาร Oxalate สูง การกินดิบจะทำให้แคลเซียมในผักกลายเป็น Calcium Oxalate ซึ่งดูดซึมยาก การนำไปต้มลวกสามารถลด Oxalate ได้ 30-87% ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารดีขึ้น
ผักตระกูลกะหล่ำ (บล็อกโคลี, กะหล่ำปลี, กะหล่ำดอก): มีสาร Glucosinolate ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ ต่อมไทรอยด์ หากกินดิบในปริมาณมาก อย่างไรก็ตาม การปรุงอาหารในระดับที่เหมาะสมจะช่วยกระตุ้นสาร Sulforaphane ซึ่งมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง
หน่อไม้สด: มีสาร Cyanogenic Glycoside และ Tannin ซึ่งทำให้มีรสฝาด และขัดขวางการย่อยโปรตีน ภูมิปัญญาชาวบ้านจึงมักนำหน่อไม้ไปต้มหลายครั้งก่อนรับประทาน
คำแนะนำในการรับประทานผักอย่างชาญฉลาด
ผักที่มีความเสี่ยงสูง: ควร ปรุงให้สุกอย่างสมบูรณ์ เท่านั้น
ผักที่มีความเสี่ยงปานกลาง: ควร ล้างให้สะอาดอย่างพิถีพิถัน และอาจนำไปต้มหรือลวกเบื้องต้น
ผักที่มีความเสี่ยงต่ำ: สามารถกินดิบได้ แต่ไม่ควรมากเกินไป
การสละเวลาเพียงไม่กี่นาทีเพื่อนำผักไป "อาบน้ำร้อน" ก่อนบริโภค จะช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพได้มาก จงจำไว้ว่าการกินอย่างชาญฉลาดไม่ใช่แค่การเลือก "ขาวหรือดำ" แต่คือการเข้าใจคุณสมบัติเฉพาะตัวของอาหารแต่ละชนิด
- "เจ็บคอ" เกินกี่วันต้องระวัง? อย่าคิดว่าแค่หวัด อาจเป็นสัญญาณ "มะเร็ง" รีบไปหาหมอ!
- ด.ช. 9 ขวบ มีนิ่วในท้อง 56 ก้อน หมอเผยต้นเหตุทำแม่ทรุด ที่แท้คือสิ่งที่ให้ลูกกินทุกวัน
