ไทรอยด์กลัวมาก! อาหาร 4 ประเภทนี้ แต่เป็นมื้อเช้าของโปรดคนไทยทั้งนั้น
ไทรอยด์เกลียด 4 อาหาร หากผู้หญิงเลี่ยงได้จะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน และป้องกันโรคเรื้อรังได้หลายชนิด
อาหารเช้าอย่างปาท่องโก๋, ไข่เค็ม, ผักดอง และนมถั่วเหลือง อาจดูเป็นเมนูที่คุ้นเคย ทำง่าย และสะดวก แต่ความจริงแล้วอาหารเหล่านี้อาจทำร้ายต่อมไทรอยด์อย่างช้า ๆ ถ้ากินเป็นครั้งคราวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ากินมากเกินไปเมื่อไหร่ ต่อมไทรอยด์จะเริ่มส่งสัญญาณเตือนทันที
จะว่าไปแล้ว การละเลยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันกำลังค่อย ๆ ทำลายอวัยวะที่บอบบางและไวต่อสิ่งเร้ามากที่สุด อย่างต่อมไร้ท่อในร่างกาย ฮอร์โมนไทรอยด์ไม่ใช่ยาวิเศษ แต่ถ้ามันทำงานผิดปกติเมื่อไร ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะรวนไปหมด
คุณอาจคิดว่าอาหารเช้าเบา ๆ ที่ปราศจากไขมัน น้ำมัน หรือรสจัดเป็นสิ่งที่ดี แต่ความจริงแล้ว อาหาร "เบา ๆ" บางอย่างกลับอันตรายกว่าอาหารมัน ๆ เสียอีก ที่สำคัญคือ อาหารเหล่านี้ไม่ใช่ขนมขบเคี้ยวที่เห็นได้ทั่วไป แต่มันคือ กับดักที่มาในรูปแบบ "อาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพ"

ของทอดที่ทอดซ้ำในน้ำมันปริมาณมาก
อาหารที่ทอดซ้ำในน้ำมันปริมาณมาก เช่น ปาท่องโก๋ อาจมีสีเหลืองทองน่ากิน แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นปัญหาต่อไทรอยด์ เพราะเมื่อน้ำมันร้อนขึ้น กรดไขมันทรานส์จะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะไปขัดขวางการเผาผลาญฮอร์โมนและทำให้เซลล์ไทรอยด์เกิดการอักเสบเรื้อรัง
จากการสำรวจในพื้นที่หนึ่งพบว่า กลุ่มคนที่บริโภคไขมันทรานส์เป็นเวลานาน มีโอกาสเกิดภาวะไทรอยด์ทำงานผิดปกติสูงกว่าคนทั่วไปถึง 1.8 เท่า สิ่งที่คุณกินเข้าไปจึงไม่ใช่แค่อาหารเช้า แต่ยังเป็น "ตัวกระตุ้น" ให้เกิดการอักเสบเรื้อรังอีกด้วย

ไข่เค็ม
หลายคนชอบไข่เค็มเป็นอาหารเช้าเพราะมีรสชาติเค็มมัน แต่ไข่เค็มนั้นมีปริมาณโซเดียมสูงอย่างน่าตกใจ การกินอาหารที่มีโซเดียมสูงจะทำให้สมดุลของอิเล็กโทรไลต์ในร่างกายเสียไป และส่งผลต่อความสามารถของไทรอยด์ในการใช้ไอโอดีนอย่างมีประสิทธิภาพ
ไอโอดีนคือหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญในการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะกินเกลือไอโอดีน ซุปสาหร่าย หรือไข่เค็มมากแค่ไหน ความพยายามของคุณก็ไร้ผลเมื่อกระบวนการเผาผลาญไอโอดีนผิดปกติ และตับอ่อนก็จะเป็นอวัยวะแรกที่ได้รับผลกระทบ

ผักดอง
ผักดองหรือแม้แต่ผักที่ผ่านการถนอมอาหารเป็น "กับดัก" ของภาวะไฮโปไทรอยด์ (ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์) เพราะสารไนไตรต์และซัลไฟด์บางชนิดในผักดองจะไปยับยั้งการดูดซึมไอโอดีนและเพิ่มความเสี่ยงของโรคนี้
องค์กรแห่งหนึ่งเคยสำรวจพฤติกรรมการกินอาหารของผู้สูงอายุและวัยกลางคน พบว่าผู้ที่กินผักดองมากกว่า 50 กรัมต่อวัน มีโอกาสเป็นเนื้องอกในต่อมไทรอยด์สูงกว่ากลุ่มควบคุมถึง 27% นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากพฤติกรรมการกินโดยตรง

นมถั่วเหลือง
นมถั่วเหลืองดูเหมือนจะเป็นเครื่องดื่มที่ปลอดภัยที่สุด แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ถูกยกย่องเกินจริง ถั่วเหลืองที่ยังไม่ผ่านการแปรรูปจะมีสารไอโซฟลาโวนและกรดไฟติก ซึ่งเมื่อถูกดูดซึมเข้าร่างกายแล้วจะไปขัดขวางการดูดซึมไอโอดีน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณดื่มนมถั่วเหลืองตอนท้องว่าง แล้วตามด้วยอาหารอื่น ๆ กรดในกระเพาะจะเจือจางลง ทำให้สารยับยั้งในนมถั่วเหลืองออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้นาน ๆ เข้า แม้คุณจะได้รับไอโอดีนอย่างเพียงพอ แต่การสร้างฮอร์โมนไทรอยด์จะลดลงเพราะ "การดูดซึมผิดพลาด"
หลายคนดื่มนมถั่วเหลืองเพื่อหวังผลลดน้ำหนัก แต่ยิ่งดื่มมากเท่าไร ร่างกายก็จะยิ่งอ่อนแอลง การเผาผลาญช้าลง อัตราการเผาผลาญพื้นฐานลดลง และน้ำหนักก็ยิ่งควบคุมได้ยากขึ้น ซึ่งปัญหาไทรอยด์นี่เองที่ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานผิดปกติ
อาหารเช้าเป็นกุญแจดอกแรกที่ช่วยปลุกร่างกายให้พร้อมทำงาน แต่ถ้าคุณเลือกกุญแจผิดดอก ประตูจะเปิดไม่ได้ และระบบเผาผลาญในร่างกายก็จะทำงานผิดพลาด
ไทรอยด์คือศูนย์กลางที่ควบคุมระบบเผาผลาญ ดังนั้นการกินอาหารเช้าที่ไม่ถูกต้องก็เหมือนกับการ "ใส่ยาพิษ" ให้ไทรอยด์ อาหารเช้าไม่ใช่ข้ออ้างในการอดอาหาร หรือเป็นตลาดเสรีที่คุณจะกินอะไรก็ได้ แต่เป็น โอกาสเดียวในแต่ละวันที่คุณจะสามารถดูแลระบบต่อมไร้ท่อได้อย่างแม่นยำ ซึ่งสำคัญยิ่งกว่าการกินอาหารเย็นที่ดีต่อสุขภาพเสียอีก
ปัจจุบัน ปัญหาเกี่ยวกับไทรอยด์พบมากขึ้นในคนหนุ่มสาว ไม่ใช่เพราะพันธุกรรมเปลี่ยนไป แต่เป็นเพราะการกินที่ไม่ถูกสุขลักษณะ หลายคนมีระดับฮอร์โมนไทรอยด์ไม่คงที่ และมีอาการของกลุ่มอาการเมตาบอลิซึม (metabolic syndrome) ตั้งแต่อายุยังไม่เข้าสู่วัยกลางคน
การจะมีไทรอยด์ที่แข็งแรงเริ่มต้นได้ด้วยอาหารเช้าที่ดีต่อสุขภาพ อย่าหลงไปกับ "เมนูแบบดั้งเดิม" ที่เคยชิน รสชาติคลาสสิกที่คุณคิดว่าดี แท้จริงแล้วเป็นเพียงทางเลือกที่เกิดขึ้นในช่วงที่ขาดแคลน ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพในปัจจุบัน
การกินอาหารเช้าผิดวิธีอาจไม่ทำให้อาการแย่ลงในทันที แต่อาจส่งผลร้ายในอีก 10 ปีข้างหน้า สิ่งที่คุณควบคุมได้ไม่ใช่ตัวโรค แต่เป็นการเลือกสิ่งดี ๆ ให้กับตัวเองในทุก 15 นาทีของมื้อเช้า