เนื้อหาในหมวด ข่าว

หมอเตือน! 1 พฤติกรรมการกิน เสี่ยง \

หมอเตือน! 1 พฤติกรรมการกิน เสี่ยง "ไขมันพอกตับ" ที่หลายคนไม่รู้ทำอยู่ทุกวัน

พฤติกรรมการกินสุดอันตราย เสี่ยง "ไขมันพอกตับ" และเป็นอันตรายต่อระบบย่อยอาหาร แต่หลายคนไม่รู้ ทำเป็นประจำทุกวัน

งานวิจัยจากประเทศจีนได้ออกมาเตือนว่า พฤติกรรมการรับประทานอาหาร บางอย่างสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคไขมันพอกตับและเป็นอันตรายต่อระบบย่อยอาหารได้ แต่พฤติกรรมนี้กลับเป็นสิ่งที่คนจำนวนมากทำเป็นประจำทุกวัน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวคือ "การกินเร็วเกินไป"

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น (Fudan University) ในประเทศจีน ได้ค้นพบว่า ผู้ที่รับประทานอาหารด้วยความเร็วสูงอย่างสม่ำเสมอมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความผิดปกติในการเผาผลาญอาหาร และมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคไขมันพอกตับได้ง่ายขึ้นกว่าคนทั่วไป

กินเร็ว เพิ่มความเสี่ยงไขมันพอกตับ 22%

นักวิจัยได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยเกือบ 2,000 ราย ที่มีภาวะโรคอ้วนและความผิดปกติของการเผาผลาญอาหารในหลายเมืองของจีน ผลการวิจัยพบว่า ผู้ที่มีนิสัยรับประทานอาหารด้วยความเร็วสูง มีความเสี่ยงที่จะเป็น โรคไขมันพอกตับ สูงกว่ากลุ่มที่รับประทานช้าหรือรับประทานด้วยความเร็วปกติถึง 22%

ผู้เชี่ยวชาญได้ให้นิยามการ "กินเร็วเกินไป" คือ การรับประทานอาหารแต่ละมื้อให้เสร็จภายใน 5-10 นาที หรือบางครั้งอาจน้อยกว่า 5 นาทีด้วยซ้ำ นายแพทย์หลิว ซือเต๋อ หัวหน้าแผนกระบบทางเดินอาหารของโรงพยาบาลหนานฟาง (มหาวิทยาลัยแพทย์หนานฟาง) กล่าวว่า สมองของมนุษย์ต้องใช้เวลาประมาณ 20 นาทีในการรับสัญญาณความอิ่มจากกระเพาะอาหาร

ดังนั้น หากรับประทานอาหารเร็วเกินไป ร่างกายจะดูดซึมแคลอรี่มากกว่าที่จำเป็น ซึ่งนำไปสู่ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน ภาวะนี้ถือเป็นสองปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดการสะสมไขมันในตับและส่งเสริมให้เกิด โรคไขมันพอกตับ ได้ นายแพทย์หลิว ซือเต๋อ ยังระบุว่า นิสัยการกินเร็วส่งผลเสียต่อทั้งระบบย่อยอาหาร ตับ และกระบวนการเผาผลาญทั้งหมดของร่างกาย

ผลกระทบอื่นๆ ของการกินเร็วเกินไป

นอกจากผลกระทบต่อตับแล้ว การกินเร็วยังส่งผลเสียต่อสุขภาพด้านอื่นๆ อีกด้วย:

  • ทำร้ายกระเพาะอาหาร: การกินเร็วทำให้เคี้ยวอาหารไม่ละเอียดก่อนส่งลงสู่กระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจึงต้องหลั่งกรดและเอนไซม์ย่อยอาหารออกมาในปริมาณมากเพื่อจัดการกับอาหารชิ้นใหญ่ ในระยะยาว การทำเช่นนี้เป็นการเพิ่มภาระให้กับระบบย่อยอาหาร ลดความสามารถในการดูดซึมสารอาหาร และอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือแม้แต่แผลในกระเพาะอาหาร
  •   
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อเมตาบอลิกซินโดรม: งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ระบุว่า นิสัยการกินเร็วอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด กลุ่มอาการเมตาบอลิก (Metabolic Syndrome) อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งรวมถึงภาวะความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง และภาวะรอบเอวเพิ่มขึ้น

วิธีกินที่ถูกต้องเพื่อปกป้องตับและสุขภาพ

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า แม้การใช้ชีวิตที่เร่งรีบอาจทำให้หลายคนรีบกินอาหารให้เสร็จ แต่พฤติกรรมนี้กำลัง “บั่นทอน” สุขภาพไปทีละน้อย นายแพทย์หลิว ซือเต๋อ จึงแนะนำวิธีการกินที่ถูกต้อง ดังนี้:

1. ใช้เวลา 20–30 นาทีต่อมื้อ

แต่ละมื้ออาหารควรใช้เวลาอย่างน้อย 20–30 นาที เน้นการเคี้ยวอาหารให้ละเอียดและช้าลง ควรจำกัดการทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น ทำงาน หรือใช้โทรศัพท์ในขณะรับประทานอาหาร

2. เริ่มมื้อด้วยใยอาหาร

ควรรับประทานอาหารที่อุดมด้วยใยอาหาร เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ หรือธัญพืชเต็มเมล็ดในช่วงต้นมื้อ วิธีนี้จะช่วยควบคุมความเร็วในการรับประทานอาหาร และสนับสนุนให้ระบบย่อยอาหารรวมถึงตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายแพทย์หลิวเน้นย้ำว่า “เพียงแค่เปลี่ยนนิสัยเล็กๆ น้อยๆ บนโต๊ะอาหาร คุณก็ช่วยให้ตับได้ ‘พักผ่อน’ และลดความเสี่ยงโรคไขมันพอกตับได้อย่างมาก”

มื้อเย็นคือตัวตัดสิน! หมอเตือน 3 พฤติกรรม \

มื้อเย็นคือตัวตัดสิน! หมอเตือน 3 พฤติกรรม "การกิน" ที่ย่นอายุขัย แต่หลายคนชิน ทำทุกวัน!

มื้อเย็น สำคัญต่ออายุขัยของคุณ: 3 พฤติกรรม ‘กินเย็น’ ที่ทำลายสุขภาพ… แต่หลายคนยังทำอยู่ทุกวัน! รู้ไหม? กินมื้อเย็นไม่ตรงเวลา เสี่ยงเสียชีวิตจากหลอดเลือดสมอง 44%

ถอดบทเรียนการใช้ชีวิต สาววัย 35 ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย แม้ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่

ถอดบทเรียนการใช้ชีวิต สาววัย 35 ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย แม้ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่

ถอดบทเรียนการใช้ชีวิต สาววัย 35 ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย แม้ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เผยอาการเริ่มต้นที่ถูกมองข้าม

ลองสังเกตดู 5 พฤติกรรมการกิน หากมี 4 ใน 5 ข้อนี้ ก็มีโอกาสอายุยืนถึง 90 ปีไม่ยาก

ลองสังเกตดู 5 พฤติกรรมการกิน หากมี 4 ใน 5 ข้อนี้ ก็มีโอกาสอายุยืนถึง 90 ปีไม่ยาก

ผู้ที่มีอายุยืนมักมี 5 พฤติกรรมเด่นในการรับประทานอาหาร หากมีครบ 4 ข้อจาก 5 ข้อนี้ ก็มีโอกาสสูงที่จะมีชีวิตยืนยาวถึง 90 ปีไม่ยาก