เด็กกินสับปะรด เลือดไหลเต็มลิ้น เพราะอะไร? หมอเฉลยแล้ว ไม่ได้แพ้ แต่มักเกิดในเด็ก
หมอไขข้อสงสัย เด็กกินสับปะรดแล้วลิ้นเลือดออก พร้อมแนะวิธีดูแลเบื้องต้น
จากกรณีผู้ใช้โซเชียลแชร์ประสบการณ์ลูกกินสับปะรดแล้วพบว่ามีเลือดซึมบริเวณลิ้น จนเกิดความกังวลว่าบุตรหลานอาจแพ้ผลไม้ ล่าสุดเพจ “หมอม็อด หมอเด็กขอเล่า” ออกมาอธิบายถึงสาเหตุ พร้อมแนวทางการดูแลเบื้องต้น โดยยืนยันว่าอาการดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการแพ้เสมอไป แต่เกิดจากกลไกในผลไม้ชนิดนี้เอง...

ทำไมกินสับปะรดแล้วลิ้นถึงเลือดออก?
หมออธิบายว่าอาการลิ้นถลอกหรือมีเลือดซึมหลังรับประทานสับปะรดเกิดจาก 2 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
1. เอนไซม์ Bromelain
สับปะรดมีเอนไซม์ย่อยโปรตีนที่เรียกว่า Bromelain เมื่อรับประทานเข้าไปเอนไซม์สามารถย่อยโปรตีนบนผิวเยื่อบุลิ้น ทำให้เกิดการกัดเซลล์ผิวบางๆ จนเป็นรอยถลอก ยิ่งกินมากหรือกินต่อเนื่อง แผลอาจมากขึ้นและมีเลือดซึมได้
2. ความเป็นกรดสูงของผลไม้
สับปะรดมีความเป็นกรดค่อนข้างสูง (pH 3–4) เมื่อลิ้นถูกเอนไซม์กัดอยู่แล้ว ความเป็นกรดจะทำให้แสบร้อน บวม และอาจมีเลือดออก โดยเฉพาะในเด็กที่เยื่อบุบอบบางกว่าผู้ใหญ่
อาการที่พบได้บ่อย ไม่ได้มีแค่เลือดออก
หมอระบุว่า ในบางรายแม้ไม่มีเลือดซึม ก็อาจเกิดอาการแสบช่องปาก เพดานปาก เหงือก หรือแก้มด้านในได้ โดยเฉพาะหากมีแผลอยู่ก่อน เช่น แผลจากการกัดปากหรือแปรงฟันแรง
วิธีดูแลเบื้องต้น หากเกิดอาการเลือดซึมหรือแสบร้อน
สามารถปฐมพยาบาลได้ด้วยตนเอง ดังนี้
- ล้างปากด้วยน้ำเปล่าเพื่อลดเอนไซม์และความเป็นกรด
- งดสับปะรดชั่วคราว ให้แผลได้ฟื้นตัว
- หลีกเลี่ยงอาหารร้อน เปรี้ยวหรือเค็มจัด
- ดื่มน้ำให้มาก เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นในช่องปาก
- หากมีเลือดซึมให้ใช้ผ้าก๊อซชุบน้ำเกลือกดเบาๆ
แต่หากเลือดหยุดช้า บวมมาก หรือมีอาการผิดปกติ ควรพาไปพบแพทย์ทันที

สรุปข้อควรรู้เกี่ยวกับสับปะรดและอาการระคายเคืองในปาก
หมอย้ำว่า สับปะรดมีทั้งกรดและเอนไซม์ย่อยโปรตีน หากรับประทานมากหรือผลยังไม่สุกดี อาจทำให้ลิ้นและเยื่อบุช่องปากเป็นแผลได้ ส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและหายได้เอง เพียงดูแลอย่างถูกวิธีก็สามารถกลับมาเป็นปกติได้