.jpg)
เตือนแล้วนะ 3 เครื่องดื่ม "ดัน" คอเลสเตอรอลพุ่ง ไม่ใช่แค่เหล้า-น้ำอัดลม อีกอย่างก็ร้าย!!!
เตือนแล้วนะ 3 เครื่องดื่มที่ "ควรหลีกเลี่ยง" ถ้าไม่อยากคอเลสเตอรอล "พุ่ง" อาการแย่ลงได้!
คอเลสเตอรอลสูงอาจส่งผลร้ายแรงหากไม่ได้รับการรักษา หลายคนคงรู้ดีอยู่แล้วว่าการเลิกกินอาหารบางชนิด ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีและเห็นผลชัดเจน แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีเครื่องดื่มอีก 3 ชนิด ที่อาจทำให้อาการแย่ลง ดังนั้นจึงต้องได้เช่นกัน
คอเลสเตอรอลสูง สามารถอุดตันหลอดเลือดด้วยไขมันและขัดขวางการไหลเวียนเลือดของหัวใจ อาหารที่มีไขมันสูงและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลสูงขึ้น และเพิ่มจำนวนไลโปโปรตีน ซึ่งแม้จะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับสุขภาพดี แต่คอเลสเตอรอล "ไม่ดี" ส่วนเกิน (ไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำหรือ LDL) อาจทำให้เกิดปัญหาได้หากสะสมมากเกินไป
การใช้ชีวิตที่เน้นกิจกรรมและการรับประทานอาหารที่สมดุล จะทำให้มีคอเลสเตอรอลที่เป็นประโยชน์และเป็นอันตรายในอัตราส่วนที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม การเครื่องดื่มอัดลมและน้ำผลไม้รสหวานเข้มข้นมากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ทำการตลาดโดยอ้างว่าเป็น "ทางเลือกเพื่อสุขภาพ" ก็อาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดได้
ตามข้อมูลของ Healthline ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มหวาน น้ำอัดลม และน้ำผลไม้แปรรูป เป็นประจำ มีความเสี่ยงที่จะมีไตรกลีเซอไรด์เพิ่มขึ้นมากกว่าผู้ที่ดื่มไม่บ่อยถึง 53% ในขณะเดียวกัน มูลนิธิโรคหัวใจอังกฤษ ก็เตือนว่าอย่าหลงเชื่อ “เครื่องดื่มทางเลือก” ที่อ้างว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ
น้ำผลไม้
การบริโภคน้ำตาลมากเกินไปถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานประเภท 2 โรคอ้วน และระดับคอเลสเตอรอลสูงซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาหัวใจร้ายแรง เช่น หัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง
British Heart Foundation (BHF) ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างน้ำผลไม้กับผลไม้สดทั้งผล โดยแนะนำว่า "ควรบริโภคน้ำผลไม้ไม่เกิน 150 มิลลิลิตร และน้ำผลไม้บริสุทธิ์ไม่เติมน้ำตาล 1 แก้ว จะนับเป็นหนึ่งใน 5 อย่างที่คุณควรบริโภคต่อวัน แต่โปรดทราบว่าแม้ว่าน้ำผลไม้จะมีวิตามิน แต่ยังมีน้ำตาลอยู่ด้วย โดยในแก้วเล็กๆ มีน้ำตาล 2-3 ช้อนชา" โดยระบุว่าน้ำส้มเพียง 150 มล. มีน้ำตาลเท่ากับส้ม 3 ลูก ในขณะที่มีไฟเบอร์ที่มีประโยชน์ด้วย
พร้อมแนะนำว่าน้ำหมักผลไม้ก็เป็นทางเลือกที่ดี ลองใส่ผลไม้รสเปรี้ยว เบอร์รี่ หรือแตงกวาลงในน้ำเปล่าดูสิ รสชาติธรรมชาติให้ความหวานเล็กน้อยโดยไม่มีปริมาณน้ำตาลสูง นอกจากนี้ ยังสามารถดื่มชาชบา ชาคาโมมายล์ หรือชาเขียวแบบร้อนหรือเย็นก็ได้ เพราะชาเหล่านี้มีสารต้านอนุมูลอิสระ และรสชาติธรรมชาติโดยแทบไม่มีการเติมน้ำตาลเลย
เครื่องดื่มอัดลม
น้ำอัดลม โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตสสูง มักมีแคลอรีว่างเปล่าและน้ำตาลสูง โดยไม่มีคุณค่าทางโภชนาการใดๆ การบริโภคเครื่องดื่มเหล่านี้เป็นประจำอาจเกี่ยวข้องกับโรคอ้วน และปัญหาการเผาผลาญที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพหัวใจ เช่น ระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูง ขณะเดียวกันยังอาจทำให้ไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง(คอเลสเตอรอลชนิดดี) ลดลง ตามรายงานของ Harvard TH Chan School of Public Health
หลายคนเลือกเครื่องดื่มอัดลมที่ไม่มีน้ำตาลด้วยเหตุผลนี้ แต่ถึงแม้จะชื่อว่าไม่มีน้ำตาล แต่เครื่องดื่มเหล่านี้ก็ไม่ได้ปราศจากส่วนผสมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยสิ้นเชิง เนื่องจากใช้สารให้ความหวานเทียม ซึ่งมูลนิธิโรคหัวใจอังกฤษมองว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ควบคุมโรคเบาหวาน เนื่องจากสารดังกล่าวไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นทันที
อย่างไรก็ตาม วิกตอเรีย เทย์เลอร์ นักโภชนาการมากประสบการณ์ ที่เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำหนัก และโปรแกรมป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เน้นย้ำถึงข้อจำกัดของสารให้ความหวานเทียม เธอแนะนำว่า “สารให้ความหวานเทียมอาจช่วยให้คุณลดปริมาณน้ำตาลได้ เช่น ในชาหรือน้ำอัดลม แต่สุดท้ายแล้ว คุณต้องลดปริมาณความหวานทั้งหมดในอาหารของคุณลงหากต้องการปรับเปลี่ยนรสนิยมของคุณในระยะยาว”
สอดคล้องกับคำกล่าวของ เจคอป วูฟ แพทย์ธรรมชาติบำบัดจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย Connor Whole Health ที่เตือนผู้คนให้ระวังเครื่องดื่มโซดา “ธรรมชาติ” ที่นิยมดื่มกัน ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำตาลทางเลือกใหม่ โดยชี้ให้เห็นว่าสตีเวียและน้ำหวานจากต้นกระบองเพชรอาจ “หลอกร่างกายให้ต้องการมากขึ้น”
การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่า เครื่องดื่มอัดลมไดเอทเพียงหนึ่งหรือสองแก้วต่อวัน ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ หากดื่มในปริมาณที่มากขึ้นเป็นประจำ ผลกระทบที่เป็นอันตรายจากเครื่องดื่มเหล่านี้จะทวีคูณขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงต่างๆ ได้ เช่น โรคเบาหวานประเภท 2, ความดันโลหิตสูง, หัวใจเต้นผิดจังหวะ, เพิ่มน้ำหนัก, โรคหลอดเลือดสมองและสมองเสื่อม
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์ก็สร้างปัญหาให้กับการจัดการคอเลสเตอรอลเช่นกัน เนื่องจากมีผลต่อการทำงานของตับ ทำให้เป็นอันตรายมากกว่าเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหรือคาเฟอีนสูงถึง 2 เท่า
มูลนิธิโรคหัวใจอังกฤษ (BHF) ระบุว่า “เมื่อคุณดื่มแอลกอฮอล์ ร่างกายจะสร้างไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลในตับ หากระดับไตรกลีเซอไรด์ของคุณสูงเกินไป อาจไปสะสมในตับ ทำให้เกิดโรคไขมันพอกตับได้”
โรคนี้ส่งผลต่อการทำงานของตับ และการกำจัดคอเลสเตอรอลออกจากเลือด ส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลสูงขึ้น นอกจากนี้การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำซึ่งควรไม่เกิน 14 หน่วยต่อสัปดาห์ ยังเสี่ยงต่อการเพิ่มน้ำหนัก ความดันโลหิตสูง และมะเร็งบางชนิดอีกด้วย
- กูรูสหรัฐฯ พูดชัด 1 อาหารที่ "ไม่มีวันกิน!!!" เพราะแบคทีเรียเยอะมาก แต่คนไทยยังกินอยู่
- ชายไม่ดื่ม-ไม่สูบ นอนตัวเหลืองรอ "เปลี่ยนตับ" หมอชี้ต้นเหตุ "น้ำโปรด" ที่ไม่ใช่เหล้าเบียร์!