เนื้อหาในหมวด ข่าว

ช็อกทั้งบ้าน จู่ๆ ชายหมดสติ และเสียชีวิต 3 วันต่อมา หมอส่ายหัวย้ำ \

ช็อกทั้งบ้าน จู่ๆ ชายหมดสติ และเสียชีวิต 3 วันต่อมา หมอส่ายหัวย้ำ "อาหาร" ที่อย่ากินบ่อย!

ช็อกทั้งบ้าน ชายไปสังสรรค์กับเพื่อน จู่ๆ กลับมานอนหมดสติ ส่ง รพ.แต่เสียชีวิต 3 วันต่อมา หมอส่ายหัวย้ำ "อาหาร" ที่อย่ากินบ่อย!

เว็บไซต์ข่าว SOHA รายงานเรื่องราวของชายชาวจีนวัย 51 ปี ที่ครอบครัวจะรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน หลังจากที่พบเขานอนหมดสติอยู่ในห้องนอน อย่างไรก็ดี ท้ายที่สุดเขาก็ยังเสียชีวิตหลังจากนั้นเพียง 3 วันเท่านั้น ในขณะที่แพทย์ระบุว่า "พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่ดีเป็นเวลานาน" คือต้นเหตุของโศกนาฏกรรมครั้งนี้!

ตามรายงานพบว่า ชายรายดังกล่าวมักชอบที่จะออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ มากที่สุด ทุกครั้งที่รับประทานอาหาร พวกเขาจะกินสุกี้ เนื้อย่าง หรืออาหารทะเล เรียกได้ว่าชีวิตเต็มไปด้วยรสชาติ แม้ทุกครั้งที่ไปพะปะกินข้าวกันเขาจะรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย แต่ก็ยังคงออกมาเจอกันเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อวันก่อนพวกเขาก็ยังคงรวมตัวกันจนถึงตีสอง

ในวันนั้นเขารู้สึกไม่สบายมากกว่าปกติ จึงตัดสินใจบอกเพื่อนๆ ว่าจะขอกลับก่อนเวลา เมื่อกลับถึงบ้านและอาบน้ำเสร็จ ก็นอนหลับหมดสติอยู่ในห้องของตนเอง กระทั่งครอบครัวไปเจอตัวและนำส่งโรงพยาบาล แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้

แพทย์เตือนว่า พฤติกรรมการกินทั่วไปในชีวิตของหลายๆ คน อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพได้หลายประการ อาหารที่ดูน่าอร่อยก็อาจเป็นต้นตอของภาระแก่ร่างกายได้

อาหารที่มีน้ำตาลมาก เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคถึง 45 โรค

นิตยสารการแพทย์อังกฤษได้เผยผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า การบริโภคน้ำตาลในปริมาณมากเป็นเวลานาน จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคถึง 45 โรค ซึ่งการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 355 มล. จะทำให้ความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น 11%

การบริโภคน้ำตาลมากเกินไปจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพหลายอย่าง เช่น โรคที่เกี่ยวกับการเผาผลาญ โดยเฉพาะจะส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลสูงเกินไป และร่างกายต้องหลั่งอินซูลินเพื่อควบคุม แต่หากคงนิสัยเช่นนี้นานๆ จะทำให้ตับอ่อนทำงานหนักและเกิดการดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งอาจนำไปสู่โรคอ้วนและเบาหวานประเภท 2

นอกจากนี้การทานน้ำตาลมากยังทำให้ไขมันสะสมในร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่โรคไขมันในเลือดสูงและโรคตับแข็ง ที่จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ

อาหารที่มีเกลือมาก ทำลายหลายอวัยวะ

นิตยสาร The Lancet ได้เผยถึงอันตรายของการทานอาหารที่มีเกลือมากเกินไป โดยกล่าวถึงการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า การทานเกลือมากเกินไปเป็นสาเหตุให้เกิดการเสียชีวิตถึง 3 ล้านคน

การทานเกลือมากจะทำให้กระบวนการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองเสียหาย โดยบางส่วนอาจขาดเลือดและออกซิเจน ทำให้เกิดการเสียหายที่เนื้อเยื่อสมอง และเมื่อร่างกายมีโซเดียมในเลือดสูง จะกระตุ้นเซลล์ประสาทให้ทำงานตลอดเวลา ทำให้สมองขาดออกซิเจน

การทานเกลือมากยังทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และเพิ่มภาระให้หัวใจ รวมทั้งทำลายหลอดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

อาหารที่มีไขมันมากอันตรายจริงๆ

การศึกษาจากนิตยสาร Cell Metabolism พบว่า การทานอาหารที่มีไขมันมากจะทำให้สุขภาพสมองเสียหาย การทานอาหารไขมันสูงเพียง 3 วันก็สามารถทำให้เกิดการอักเสบในสมองได้

การทานอาหารที่มีไขมันมากเป็นประจำ ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง โดยการศึกษาจากนิตยสาร Cell Communications พบว่า การให้หนูทานอาหารที่มีไขมันสูง จะทำให้จำนวนแบคทีเรียบางชนิดในลำไส้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของกรดน้ำดีในลำไส้ และทำให้เซลล์ในลำไส้กลายพันธุ์ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งได้

กราบเคล็ดลับ! นักวิจัยเผย \

กราบเคล็ดลับ! นักวิจัยเผย "เวลาที่แน่นอน" ในการกินอาหาร ช่วยลดน้ำหนัก-ป้องกันโรคอ้วน

นักวิจัยอธิบายชัด ทำไม "การกำหนดเวลาทานอาหาร" จึงสามารถช่วยลดการเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก อาการท้องอืด และความเสี่ยงต่อสุขภาพอื่นๆ ได้!

ระวัง! กินอาหารชนิดนี้บ่อยๆ เสี่ยงไมโครพลาสติกสะสมในสมอง หมอเผย ยังไม่กล้ากิน

ระวัง! กินอาหารชนิดนี้บ่อยๆ เสี่ยงไมโครพลาสติกสะสมในสมอง หมอเผย ยังไม่กล้ากิน

กินอาหารชนิดนี้บ่อย ๆ อาจเสี่ยงไมโครพลาสติกสะสมในสมอง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุกรรม ยอมรับ "ผมยังไม่กล้ากิน"

หมอเตือน กินอาหาร 1 ประเภท ติดต่อกันแค่ 5 วัน ก็รู้เรื่อง ทำลายสมองและตับ!

หมอเตือน กินอาหาร 1 ประเภท ติดต่อกันแค่ 5 วัน ก็รู้เรื่อง ทำลายสมองและตับ!

แพทย์เตือน กิน "อาหาร 1 ประเภท" ติดต่อกัน 5 วัน ทำลายสมองและตับ! แม้จะกลับมากินอาหารปกติ ก็ไม่สามารถฟื้นฟูได้

อายุ 60 ปีขึ้นไป ควรกินอาหารเช้าเวลาไหนดีที่สุด? ไม่ใช่ 7 โมงเช้าอย่างที่หลายคนคิด

อายุ 60 ปีขึ้นไป ควรกินอาหารเช้าเวลาไหนดีที่สุด? ไม่ใช่ 7 โมงเช้าอย่างที่หลายคนคิด

หลังอายุ 60 ปีขึ้นไป ควรกินอะไรเป็น "อาหารเช้า" และกินเวลาไหนดีที่สุด? ไม่ใช่ 7 โมงเช้า อย่างที่หลายคนคิด