ฮาร์วาร์ดยืนยัน 3 ลักษณะเด่นใน "อัจฉริยะตัวน้อย" ระบุได้ตั้งแต่เด็กๆ มีแค่ 1 ข้อก็โชคดีแล้ว!
งานวิจัยฮาร์วาร์ด ระบุ 3 ลักษณะเด่นที่ช่วยจำแนก “อัจฉริยะตัวน้อย” ตั้งแต่วัยก่อนเรียน ที่พ่อแม่ควรใส่ใจ!
ถ้าพ่อแม่สามารถสังเกตและเลี้ยงดูอย่างถูกวิธี เด็กจะมีข้อได้เปรียบอย่างมากในการพัฒนาสมองและสติปัญญา
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) ชี้ว่า IQ ของเด็กสามารถสังเกตได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะเข้าสู่วัยเรียน โดยเด็กที่มีความฉลาดโดดเด่นมักแสดงลักษณะเด่น 3 อย่างชัดเจนก่อนอายุ 6 ปี และระดับการลงทุนของพ่อแม่ใน 3 ด้านนี้สามารถทำให้ IQ ของเด็กเพิ่มขึ้นได้ตั้งแต่ 5% ถึง 30%
นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าช่วงเวลาก่อนอายุ 6 ปี คือ “ช่วงเวลาทอง” ของการพัฒนาสมอง เพราะเป็นช่วงที่เครือข่ายประสาทเกิดการเชื่อมต่ออย่างรวดเร็ว สร้างพื้นฐานสำคัญสำหรับการคิดสร้างสรรค์และปัญญาในอนาคต หากพ่อแม่สังเกตและเลี้ยงดูอย่างเหมาะสม เด็กจะมีข้อได้เปรียบอย่างมากในการพัฒนาสมอง
3 ลักษณะเด่นของเด็กที่มี IQ สูง
1. ความสามารถในการลงมือทำอย่างแข็งแกร่ง
แพทย์เด็ก ทาเคชิ อินากากิ (Takeshi Inagaki) จากประเทศญี่ปุ่น เน้นย้ำว่า การที่เด็กใช้มือทั้งสองข้างอย่างคล่องแคล่วในการฝึกประสาทสัมผัสและความชำนาญของนิ้วมือเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นสมอง ประวัติศาสตร์ยังแสดงให้เห็นว่าอัจฉริยะหลายคน เช่น เจมส์ วัตต์ (James Watt) นักประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำ, พี่น้องไรท์ (Wright Brothers) ผู้ประดิษฐ์เครื่องบิน, และอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ต่างก็มีความสามารถในการลงมือทำที่โดดเด่น
พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีส่วนร่วมในกิจกรรมลงมือทำหลากหลาย เช่น การดูแลตัวเอง, ทำงานบ้าน, ต่อจิ๊กซอว์, เล่นดินน้ำมัน, ฝึกนิ้วมือ หรือแม้แต่การอ่านหนังสือพร้อมจดบันทึก กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยฝึกความชำนาญมือเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย
2. ความสามารถในการจดจ่ออย่างเหลือเชื่อ
นักชีววิทยา จอร์จ คูวีเย (Georges Cuvier) เคยกล่าวไว้ว่า “อัจฉริยะ คือ ความสามารถในการใส่ใจอย่างเต็มที่” ในทำนองเดียวกัน นักวิชาการ ลี มี คิม (Lý Mỹ Kim) เห็นว่าคุณสมบัติร่วมของ “อัจฉริยะตัวน้อย” คือความสามารถในการโฟกัสอย่างสูง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ มารี คูรี (Marie Curie) นักวิทยาศาสตร์หญิงคนแรกของโลกที่ได้รับรางวัลโนเบลถึงสองครั้งจากการที่เธอมุ่งมั่นใส่ใจในการวิจัยอย่างเต็มที่
ในความเป็นจริง เด็กที่มีสมาธิมักอ่านหนังสือต่อเนื่องได้หลายชั่วโมง ขณะที่เด็กที่ขาดสมาธิมักหมดความอดทนภายใน 5 นาทีไม่ว่าจะเล่นหรือเรียน เพื่อส่งเสริมสมาธินี้ พ่อแม่ควรสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่รบกวน, เคารพเวลาที่เด็กกำลังจดจ่อ และชักชวนเด็กไปทำกิจกรรมที่ตนเองชอบ
3. ความอยากรู้อยากเห็นและความรักในการอ่านหนังสือ
นักเขียนชาวญี่ปุ่น ไดซากุ อิเคดะ (Daisaku Ikeda) กล่าวว่า “ถ้าคุณมีความอยากรู้ตลอดชีวิต คุณจะสามารถทำภารกิจสำคัญของตัวเองให้สำเร็จ” สำหรับเด็ก ความอยากรู้อยากเห็นมักแสดงออกด้วยการตั้งคำถามอย่างต่อเนื่อง การสำรวจด้วยมือ และการหาคำตอบในหนังสือ
แทนที่จะปัดความอยากรู้อยากเห็นนั้นไป พ่อแม่ควรอดทนฟังและสนับสนุนให้เด็กหาสาเหตุ พร้อมไปค้นหาคำตอบร่วมกับลูก การอ่านหนังสือเป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาและมีประสิทธิภาพที่สุดในการกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น เด็กที่มีนิสัยรักการอ่านตั้งแต่เด็กจะพัฒนาทักษะการคิดเชิงภาษา ขยายความรู้ และก้าวหน้าในการเรียนได้ง่ายขึ้น
- ฮาร์วาร์ดเผย 3 นิสัย(ดูเหมือน)แย่ แต่พิสูจน์ได้ว่า "เด็กฉลาด" ผปค.ควรรู้ ไม่ขวางเฉิดฉาย!
- ศาสตราจารย์ชื่อดัง ชี้ส่งลูกเรียนพิเศษ 3 คลาสนี้ เปลืองเงินไร้ประโยชน์ พ่อแม่ต้องรู้ให้ทัน!
ทั้งนี้ งานวิจัยจากฮาร์วาร์ดเน้นย้ำว่า เด็กคนหนึ่งถือว่ามีโชคดีมากถ้ามีหนึ่งในสามลักษณะข้างต้น ยิ่งถ้ามีถึงสองลักษณะจะยิ่งวิเศษ และเป็นเรื่องที่พบได้น้อยมากที่เด็กจะมีครบทั้งสามลักษณะ สิ่งสำคัญคือพ่อแม่ต้องสังเกต ดูแล และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาความสามารถเหล่านี้เพื่อไม่ให้ถูกมองข้าม
