เนื้อหาในหมวด ข่าว

น้ำตาลที่หวานที่สุดในโลก หวานกว่าน้ำตาลทราย 13,000 เท่า กินได้ไม่อันตราย

น้ำตาลที่หวานที่สุดในโลก หวานกว่าน้ำตาลทราย 13,000 เท่า กินได้ไม่อันตราย

"ฟรักโทส" น้ำตาลธรรมชาติที่หวานที่สุด "นีโอแตม" หวานกว่าน้ำตาลทราย 13,000 เท่า 

น้ำตาล (Sugar) เป็นสารให้ความหวานที่เราใช้กันในชีวิตประจำวัน ทั้งในอาหารและเครื่องดื่ม โดยน้ำตาลเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน พบได้ตามธรรมชาติในพืชเกือบทุกชนิด โดยเฉพาะในอ้อยและหัวบีท ซึ่งถูกสกัดออกมาเป็นน้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ หรือน้ำตาลกรวดตามที่เราคุ้นเคยกัน

ค่าความหวานของน้ำตาลและการวัดมาตรฐาน

ในอุตสาหกรรมน้ำตาล ค่าความหวานเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้กำหนดคุณภาพและราคาของอ้อย โดยนิยมวัดอยู่ 2 รูปแบบ ได้แก่

  • องศาบริกซ์ (ºBrix) ซึ่งวัดจากปริมาณร้อยละของของแข็งที่ละลายได้ ที่มีอยู่ทั้งหมดในน้ำอ้อย (หน่วยนี้นิยมใช้เป็นมาตรฐานในภาคอุตสาหกรรมประเทศไทย

  • ซี.ซี.เอส (Commercial Cane Sugar : C.C.S) ใช้คำนวณการหีบอ้อยเอาน้ำตาลที่มีอยู่ทั้งหมดในอ้อยออกมาได้เท่าไหร่ (เป็นสูตรคำนวณที่นำมาจากออสเตรเลีย)

  • แม้น้ำตาลจะเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย แต่การบริโภคมากเกินไปอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน หรือฟันผุ ดังนั้น การรู้ว่าน้ำตาลชนิดใดหวานที่สุดและมีผลต่อสุขภาพอย่างไรจึงสำคัญไม่น้อย

    ชนิดของน้ำตาลตามโครงสร้างทางเคมี

    ในทางเคมี น้ำตาลสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่:

    • น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (Monosaccharides) เช่น กลูโคส ฟรักโทส กาแล็กโทส
    • น้ำตาลโมเลกุลคู่ (Disaccharides) เช่น ซูโครส แล็กโทส มอลโทส
    • น้ำตาลโมเลกุลใหญ่ (Polysaccharides) เช่น แป้ง ไกลโคเจน เซลลูโลส (ไม่ให้รสหวาน)

    เรียงลำดับ “ความหวาน” ของน้ำตาลธรรมชาติ

    น้ำตาลแต่ละชนิดให้ความหวานไม่เท่ากัน โดยมีระดับความหวานเรียงจากมากไปน้อยดังนี้:

  • ฟรักโทส (Fructose) – หวานที่สุดในบรรดาน้ำตาลธรรมชาติ พบในผลไม้และน้ำผึ้ง ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลทราย
  • ซูโครส (Sucrose) – คือน้ำตาลทรายทั่วไป สกัดจากอ้อยหรือหัวบีท เป็นน้ำตาลที่ใช้แพร่หลายที่สุด
  • กลูโคส (Glucose) – ร่างกายสังเคราะห์ได้เองจากคาร์โบไฮเดรต เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของสมอง
  • มอลโทส (Maltose) – เกิดจากกลูโคส 2 โมเลกุลรวมกัน มักพบในธัญพืชและใช้ในอุตสาหกรรมเบียร์
  • แลคโตส (Lactose) – น้ำตาลในน้ำนม เป็นชนิดที่หวานน้อยที่สุดในบรรดาน้ำตาลธรรมชาติ
  • น้ำตาลที่หวานที่สุดในโลกคือ “ฟรักโทส”

    หากพิจารณาเฉพาะน้ำตาลธรรมชาติ น้ำตาลที่หวานที่สุดในโลกคือ ฟรักโทส (Fructose) ซึ่งพบในผลไม้ น้ำผึ้ง และน้ำเชื่อมจากข้าวโพด ฟรักโทสมีความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายถึง 1.2–1.8 เท่า แต่หากบริโภคมากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับได้ เนื่องจากฟรักโทสถูกเผาผลาญโดยตรงที่ตับ

    ดังนั้น ผลไม้แม้จะมีประโยชน์ ก็ควรเลือกกินในปริมาณพอดี ผลไม้ที่มีฟรักโทสสูง เช่น องุ่น ทุเรียน มะม่วงสุก กล้วย ลำไย

    น้ำตาลเทียม หรือ สารให้ความหวานที่ไม่ใช่น้ำตาล (Non-Caloric Sweeteners)

    นอกจากน้ำตาลธรรมชาติแล้ว ปัจจุบันมีการใช้ สารให้ความหวานแทนน้ำตาล หรือที่เรียกว่า น้ำตาลเทียม ซึ่งให้ความหวานสูงแต่ไม่ให้พลังงาน เหมาะสำหรับผู้ควบคุมน้ำหนักหรือผู้ป่วยเบาหวาน ตัวอย่างเช่น :

    • แอสปาร์แตม (Aspartame) – หวานกว่าน้ำตาล 200 เท่า แต่ไม่ทนความร้อน
    • ซูคราโลส (Sucralose) – หวานกว่าน้ำตาล 600 เท่า ทนความร้อนสูง ใช้ในเบเกอรี่ได้
    • สตีเวีย (Stevia) – สารสกัดจากธรรมชาติ ให้ความหวาน 200–300 เท่า ไม่เพิ่มน้ำตาลในเลือด
    • อะเซซัลเฟม-เค (Acesulfame-K) – หวาน 200 เท่า นิยมใช้ร่วมกับสารอื่นเพื่อให้รสหวานสมดุล
    • ไอโซมอลต์ (Isomalt) – อยู่ในกลุ่ม น้ำตาลแอลกอฮอล์ (Sugar Alcohol) ให้ความหวานประมาณ 50-65% ของน้ำตาลทราย และให้พลังงานน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง

    นีโอแตม (Neotame): สารให้ความหวานที่หวานที่สุดในโลก

    ในบรรดาสารให้ความหวานทั้งหมด นีโอแตม หรือ นีโอเทม (Neotame) คือสารให้ความหวานที่หวานที่สุดในโลก โดยให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายถึง 7,000–13,000 เท่า ไม่มีแคลอรี่ และไม่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด จึงได้รับการยอมรับให้ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลก

    คุณสมบัติของนีโอแตม

    • ให้รสหวานใกล้เคียงน้ำตาลธรรมชาติ ไม่มีรสขมตกค้าง
    • ใช้ในปริมาณน้อยมากเนื่องจากมีความหวานสูง
    • ทนความร้อนได้ดี เหมาะสำหรับอาหารที่ผ่านการอบหรือปรุงสุก
    • ปลอดภัยต่อผู้ป่วยโรคฟีนิลคีโตนูเรีย (PKU)
    • ได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก FDA และ WHO

    อาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทยที่มี “นีโอแตม (Neotame)” เป็นส่วนผสม

    โดยทั่วไป นีโอแตม (INS 961) ถูกอนุญาตให้ใช้เป็นวัตถุเจือปนอาหารในหลายประเภทผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และมักพบในกลุ่มอาหารดังต่อไปนี้:

    • เครื่องดื่มลดแคลอรี่ (Diet/Low-Calorie Beverages): เช่น น้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาล, น้ำผลไม้ลดน้ำตาล, และเครื่องดื่มชนิดผงต่าง ๆ

    • ผลิตภัณฑ์นมและไอศกรีม: ใช้ในโยเกิร์ต นมเปรี้ยว และไอศกรีมที่เน้นลดปริมาณแคลอรี่

    • ขนมและเบเกอรี่: ใช้ในขนมอบกรอบ ขนมเค้ก และลูกกวาด/ลูกอม ที่ต้องการความหวานสูงโดยไม่ใช้หรือลดการใช้น้ำตาลทรายลง

    • หมากฝรั่งและลูกอม (Confectionery): เพื่อให้ความหวานยาวนานและไม่มีผลต่อฟันผุ

    ข้อสังเกตเกี่ยวกับนีโอแตม

    แม้ว่านีโอแตมจะเป็นสารให้ความหวานที่ได้รับการรับรองจาก อย. และมีความปลอดภัยในการบริโภคในปริมาณที่กำหนด แต่ในอุตสาหกรรมอาหารไทยยังไม่เป็นที่แพร่หลายเท่าสารให้ความหวานชนิดอื่น เช่น ซูคราโลส (Sucralose) หรือหญ้าหวาน (Stevia) ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบการใช้สารนี้ได้จากฉลากโภชนาการของผลิตภัณฑ์ โดยจะระบุรหัส "สารให้ความหวาน (INS 961)" ไว้บนบรรจุภัณฑ์

    เคล็ดลับอ่านฉลากให้ถูกต้อง

    หากต้องการตรวจสอบว่าอาหารหรือเครื่องดื่มมี “นีโอแตม” หรือไม่ ให้ดูในส่วนของ ส่วนประกอบบนฉลาก โดยอาจระบุว่า “Neotame” หรือ “INS 961” ซึ่งเป็นรหัสมาตรฐานสากลของนีโอแตม

    ข้อควรระวังของ “นีโอแตม” 

    องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) และองค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยันว่าปลอดภัยหากบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม การบริโภคเกินความจำเป็นก็อาจมีผลข้างเคียงต่อร่างกายได้เช่นกัน

    1. การบริโภคมากเกินไปอาจกระตุ้นการ “ติดรสหวาน”

    แม้นีโอแตมจะไม่มีพลังงาน แต่ความหวานที่เข้มข้นมากอาจทำให้สมองและต่อมรับรสคุ้นชินกับความหวานจัด เมื่อบริโภคต่อเนื่องอาจเกิดภาวะ “ติดรสหวาน” (Sweet Addiction) ทำให้ต้องการอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสหวานมากขึ้น และส่งผลให้ลดการบริโภคอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ หรือโปรตีน

    2. อาจส่งผลต่อระบบเผาผลาญ

    มีการศึกษาบางส่วนระบุว่า การบริโภคสารให้ความหวานเทียมในระยะยาวอาจรบกวนการทำงานของจุลชีพในลำไส้ (Gut Microbiota) ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญและการดูดซึมสารอาหาร ทำให้ร่างกายเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน หรือมีแนวโน้มเพิ่มน้ำหนักได้ในระยะยาว แม้จะไม่ให้พลังงานโดยตรงก็ตาม

    3. เสี่ยงกระตุ้นอาการทางระบบประสาทในบางราย

    แม้นีโอแตมจะไม่เปลี่ยนเป็นฟีนิลอะลานีน (เหมือนแอสปาร์แตม) จึงปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยโรคฟีนิลคีโตนูเรีย (PKU) แต่ในผู้ที่ไวต่อสารเคมีบางชนิดอาจเกิดอาการ เวียนศีรษะ ปวดหัว หรืออ่อนเพลีย ได้ หากบริโภคปริมาณมากเป็นเวลานาน

    4. ผลต่อการรับรู้รสชาติของอาหารธรรมชาติ

    เมื่อร่างกายคุ้นเคยกับความหวานเข้มข้นจากนีโอแตม การรับรู้รสชาติของอาหารธรรมชาติ เช่น ผลไม้หรือผัก อาจลดลง ทำให้รู้สึกว่ารสชาติ “จืด” กว่าความเป็นจริง ซึ่งอาจส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคในระยะยาว

    5. ความเสี่ยงในผู้มีภาวะตับหรือไตทำงานผิดปกติ

    แม้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่านีโอแตมทำลายตับหรือไต แต่การเผาผลาญสารนี้เกิดขึ้นที่ตับ ดังนั้น ผู้ที่มีโรคตับเรื้อรังหรือโรคไตควรหลีกเลี่ยงการบริโภคต่อเนื่อง และควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารให้ความหวานสังเคราะห์

    ปริมาณที่ปลอดภัยในการบริโภค

    องค์การอาหารและยา (FDA) กำหนดปริมาณบริโภคต่อวันที่ยอมรับได้ (Acceptable Daily Intake: ADI) ของนีโอแตมไว้ที่ 0.3 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งถือว่ามีความปลอดภัยสูง ตัวอย่างเช่น ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนัก 60 กิโลกรัม สามารถบริโภคได้ไม่เกิน 18 มิลลิกรัมต่อวัน

    สรุป: หวานแค่ไหนถึงจะพอดี?

    ในขณะที่ฟรักโทสเป็นน้ำตาลธรรมชาติที่หวานที่สุด ส่วนนีโอแตมคือสารให้ความหวานสังเคราะห์ที่หวานที่สุดในโลก การบริโภคสารให้ความหวานควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะแม้จะไม่มีแคลอรี่ แต่การรับรสหวานเกินไปอาจกระตุ้นให้ร่างกายโหยน้ำตาลและส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว

     

    น้ำตาล 1 ชนิดที่เซลล์มะเร็งกลัว พบในอาหารที่คุ้นเคย กินดีประโยชน์หลายต่อ

    น้ำตาล 1 ชนิดที่เซลล์มะเร็งกลัว พบในอาหารที่คุ้นเคย กินดีประโยชน์หลายต่อ

    รู้จัก น้ำตาล 1 ชนิด ที่มะเร็งกลัวเพราะทำให้เซลล์อ่อนแอ พบในอาหารที่คุ้นเคย กินดีได้ประโยชน์หลายต่อ

    ฮาร์วาร์ดค้นพบ 1 อาหารยืดอายุขัย กินแค่วันละ 28 กรัม หัวใจแข็งแรง-น้ำตาลในเลือดคงที่

    ฮาร์วาร์ดค้นพบ 1 อาหารยืดอายุขัย กินแค่วันละ 28 กรัม หัวใจแข็งแรง-น้ำตาลในเลือดคงที่

    มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดศึกษาประชากรมากกว่า 118,000 คน และค้นพบอาหาร 1 ประเภทที่มีประสิทธิภาพในการ "ยืดอายุ" โดยการรับประทานวันละ 28 กรัม จะช่วยให้หัวใจแข็งแรงและระดับน้ำตาลในเลือดคงที่

    รู้จักอวัยวะที่เป็น \

    รู้จักอวัยวะที่เป็น "หัวใจดวงที่สอง" ของร่างกาย แค่ขยับเบาๆ ก็ช่วยน้ำตาลในเลือดได้

    รู้จักอวัยวะที่เป็น "หัวใจดวงที่สอง" ของร่างกาย มีบทบาทในการไหลเวียนโลหิต แค่ขยับเบาๆ ก็ช่วยน้ำตาลในเลือดได้