4 ลักษณะปลา ที่กินมากไป "ทำลายตับ" แม้จะอร่อย ก็ควรกินแต่น้อย
เตือน! 4 ลักษณะปลา ที่กินมากไป "ทำลายตับ" แม้จะอร่อย ก็ควรกินแต่น้อย
ปลาเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพและอุดมด้วยสารอาหาร แต่ปลาบางชนิดหากกินบ่อยเกินไป อาจเพิ่มภาระให้กับตับและถึงขั้นทำลายได้
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ผู้คนเริ่มลดกินเนื้อแดง แล้วหันมากิน “เนื้อขาว” เช่น ปลาและกุ้ง เพราะมีคอเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวน้อย เหมาะสำหรับสุขภาพหัวใจและสมอง ผู้สูงอายุก็ได้รับประโยชน์จากการกินปลาอย่างเหมาะสม
แต่ไม่ได้หมายความว่า “ปลาทุกชนิด” จะดี หากกินบ่อยเกินไปหรือเลือกไม่ถูก
4 ลักษณะของปลาที่ควรจำกัดการบริโภค
1. ปลาที่มีกลิ่นผิดปกติหรือคาวมาก
มลพิษทางทะเลทำให้ปลาหลายชนิดอาศัยในน้ำที่ไม่สะอาด ซึ่งอาจมีโลหะหนักหรือสารพิษสะสมอย่างมาก ถ้ากินปลาที่มีลักษณะดังกล่าวบ่อย ๆ ร่างกายจะสะสมสารพิษเหล่านั้น ทำให้ตับและไตทำงานหนักขึ้น
2. ปลาขนาดใหญ่มาก
ปลาที่ถูกเลี้ยงแบบเร่งโตหรือปลาอายุเยอะมักมีฮอร์โมนตกค้างมาก และเนื้ออาจร่วนคล้ายเสียคุณภาพ – การกินบ่อยๆ อาจทำให้ตับได้รับภาระมากกว่าปกติ

3. ปลาที่แช่แข็งไว้เป็นเวลานาน
ปลาฟรีซไม่ชัดเจนแหล่งที่มา หรือถูกแช่ไว้ยาวนาน อาจมีการใช้สารกันเสียเช่นฟอร์มาลิน หรือปลาที่โดนความร้อน‑เย็นซ้ำหลายครั้ง ทำให้เนื้อปลาเสียคุณภาพ – หากกินเข้าไปอาจเพิ่มความเสี่ยงโรคทางเดินอาหารและตับ
4. ปลาที่กินเนื้ออื่นเป็นอาหาร และมีขนาดใหญ่
ปลาในระดับอาหารบนสุดของห่วงโซ่อาหาร เช่น ปลาดาบ ปลาเหยี่ยวยักษ์ มักสะสมสารพิษและโลหะหนัก จึงควรกินแต่ “เล็กน้อย” เพราะสารเหล่านี้อาจสะสมในร่างกายและทำร้ายตับได้
วิธีเลือกปลาที่ปลอดภัย
- เลือกปลาที่ยังมีชีวิตหรือเพิ่งจับมา เพราะแสดงถึงความสดได้ดีที่สุด
- ดูเหงือกปลา – เหงือกสดจะมีสีแดง‑ชมพู ไม่มีเมือกหรือกลิ่นเหม็น
- ดูตาปลา – ตาสดควรใสและนูน ถ้าตาขุ่นหรือลึกลง อาจเป็นปลาที่เก็บไว้นาน
- ลองกดเนื้อปลา – ถ้าปลอดภัย เนื้อจะเด้งกลับมาได้ ไม่แอ่นหรือเป็นรอยบุ๋ม